ข้อความต้นฉบับในหน้า
อุเบกขาในปัญญา คือปัญญาส่วนเหตุ อันได้แก่ปัญญาที่ใช้พิจารณาย่อมมีอาการวิจัย
คือ ค้นหา เลือกเฟ้น และมีอาการยึดสิ่งที่ค้นนั้นไว้ จึงยังไม่เป็นอุเบกขา ส่วนปัญญาส่วนผล
ได้แก่ปัญญาที่ค้นพบแล้วย่อมมีอาการว่างแล้วหยุด เพราะไม่ต้องค้นไม่ต้องยึดอีก จึงเป็นอุเบกขา
อุเบกขาในโพชฌงค์มีลักษณะดังนี้ แต่ในที่นี้มุ่งถึง อุเบกขา ในวิปัสสนา ดังที่กล่าวเป็นหัวข้อ
อุเบกขาในปัญญาและในปัญญาและในสังขารมีอุปมาเหมือนอย่างว่าคนผู้หนึ่งค้นหางูที่เลื้อยเข้าใน
บ้าน เห็นงูนอนขดในที่แห่งหนึ่ง มองดูว่างูหรือมิใช่ ครั้นได้เห็นลายแฉกขนศรีษะก็สิ้นสงสัย ได้
ต้องค้นต่อไปว่าใช่งูหรือมิใช่งู เรียกว่าอุเบกขาซึ่งมีอาการมัธยัสถ์เป็นกลางขึ้นในการค้น
หมายความว่าเลิกค้นได้ฉันใดการทำวิปัสสนาก็ฉันนั้น เมื่อได้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์แล้วก็หยุด
ค้น ให้เห็นไตรลักษณ์ต่อไปได้ เรียกว่า มีอุเบกขาในวิปัสสนา มีอาการอย่างเดียวกัน อนึ่ง เมื่อ
ได้เห็นงูจึงใช้ไม้มีง่ามจับไว้มั่นคือว่าจะนำไปปล่อยอย่างไร งูจึงจะไม่มีอันตราย และตนเองก็
ปลอดภัย ครั้นปล่อยงูเสียเสียแล้ว ก็เกิดอุเบกขาในการจับ คือเรื่องการจับงูผ่านพ้นไปแล้ววางใจ
ผลทางวิปัสสนา ก็ฉันนั้น เมื่อได้อุเบกขาในวิปัสสนาปัญญาแล้วก็จะได้อุเบกขาที่มี
ลงได้ฉันใด
อาการมัธยัสถ์เป็นกลาง ในสังขาร คือ ปล่อย ไมยึดไว้
อุเบกขาในสติปัฏฐาน คือเมื่ออบรมปฏิบัติในสติปัฏฐานไปโดยลำดับถึงข้อที่
ท่านแสดงว่า “เห็นการละความยินดียินร้ายนั้นด้วยปัญญา เพ่งเป็นอุเบกขาอยู่ด้วยดี”
แล้ว
นอกจากนี้ยังมี อุเบกขาในความเพียร หมายถึงประคองความเพียรไว้ได้สม่ำเสมอไม่
หย่อน ไม่ตึง อุเบกขาในเวทนา คือ เสวยเวทนาที่เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข อุเบกขาใน
เจตสิกธรรม ที่มีอาการของจิตที่มัธยัสถ์เป็นกลางในอารมณ์นั้น ๆ อุเบกขา ๒ อย่างหลังนี้
เป็นเรื่องของธรรมธรรมดา
ในทศชาติชาดก เฉพาะ นารทชาดก ท่านแสดงถึงบารมีข้อนี้ คือข้ออุเบกขาบารมี นี้
เรื่องย่อมีว่า พระเจ้าอังคติราชแห่งวิเทหะ ทรงฟังคำสอนของคุณาชีวกแล้วทรงเห็นผิดไปตามว่าบุญ
บาปไม่มี เป็นต้น พระรุจาราชธิดาถวายคติธรรมที่ชอบก็ไม่ทรงละมิจฉาทิฐินั้น พระพรหมนาร
ทะได้ทรงอธิษฐานขอให้ช่วยของพระราชธิดา
จึงได้ลงมาแสดงธรรมจนพระเจ้าอังคติราชถอน
ความเห็นผิด เรื่องนี้แสดงว่า พระพรหมนารทะได้นำเพ็ญสมาธิจนได้ญาณสมาบัติมาแล้ว องค์
สำคัญของญาณชั้นสูงคือ อุเบกขาอันบริสุทธิ์ จึงถือชาดกนี้ว่าแสดงอุเบกขาบารมี
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๑๙๔