ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(เจริญ ญาณวรเถร)
พ. ศ. ๒๔๘๐
๓๕๓
ในปีนี้ (๒๔๘๐) จักเลือกมาถวายวิสัชนา ๒ ประการ คือ อาชวะ ความเป็นผู้ตรง ๆ ๑
ไมตรี ความเป็นมิตร ๑
อาชีวะ ความเป็นผู้ตรง ๆ นั้น ได้แก่ความไม่มีมายาสาไถย ประพฤติ ต่อผู้อื่นด้วยความ
จริงใจของตน ลางคนเป็นผู้เจ้ามายา พอใจประพฤติเสแสร้ง น้ำใจเป็นอย่างหนึ่งแสดงการทำแล
คำพูดเป็นอย่างอื่น เช่นน้ำใจเกลียด แต่ทำเป็นที่ชอบพอสนิทสนม หรือเป็นผู้มีแง่งอน มีความ
ปรารถนาอย่างหนึ่งในใจ แต่ไม่แสดงออกมาตรง ๆ ที่จริงประสงค์จะให้ผู้อื่นทำให้ถูกใจ เช่นชอบใจ
อยู่อย่างนี้ แต่ทำไขสือข้อหารือความคิดผู้อื่น ไม่ถูกใจเอา หรือเป็นผู้อำพราง พูดเตือนเสีย ไม่ขยาย
ความจริง เช่นเมื่อถูกซักความอย่างใดอย่างหนึ่ง ลางคนเป็นผู้มักอวดตัวเกินกว่าความเป็นจริง คน
ผู้มีลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่อุชุคนตรง ๆ ยากที่ตนอื่นจะเกี่ยวข้องด้วย คนผู้ประพฤติต่อผู้อื่นด้วยความ
จริงใจของตน มีน้ำใจอย่างใด ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ไม่มีนอกไม่มีใน ได้ชื่อว่า อุชุคนตรง ๆ ๆ
ง่ายที่คนอื่นจะเกี่ยวข้องด้วย ในพระพุทธศาสนา พระศาสดาแลพระสาวกต่างประพฤติตรง ๆ ต่อ
กันจึงเป็นความสะดวกในการประกอบศาสนกิจ เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์
ในฝ่ายพระสาวก อันพระศาสดาตรัสถาม ย่อมกราบทูลตามความจริง มีเรื่องแสดงไว้สาธก เช่น
ภิกษุลางรูปประพฤติไม่สมควร ทำความอัปยศให้เกิดขึ้นแก่คณะ ในเมื่อสิกขาบท ห้ามการ
ประพฤติอย่างนั้น ยงไม่ได้ทรงบัญญัติขึ้นไว้ พระศาสดาตรัสถามย่อมกราบทูลรับสารภาพตามจริง
แลเมื่อสิกขาบทได้ทรงบัญญัติขึ้น ทำอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว แล้วเกิดระแวงสงสัย ก็กราบทูลขอ
พระวินิจฉัย พระองค์ตรัสถามถึงเจตนาแลอื่น
ๆ ย่อมกราบทูลตรง ๆ ภิกษุลางองค์เกิดความ
กระสันขึ้นไม่ยินดีในพรหมจรรย์ มีรูปพรรณซูบผอมเศร้าซีด พระศาสดาตรัสถามถึงเหตุแห่งความ
ไม่ผาสุก ย่อมกราบทูลตามตรง แลอะไรเป็นเหตุกระสัน ย่อมกราบทูลเปิดเผย สาวกอื่นมีฉันทะ
อัธยาศัยเป็นอย่างไร