ข้อความต้นฉบับในหน้า
แลพวกอสูรต่างเลือกตั้งชุมนุมไว้เพื่อเป็นผู้ตัดสิน
๓๔๔
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
ครั้งสงครามแห่งเทวดาแลอสูรประชิดกันอยู่ ท้าวเวปจิตติอสุรินทร์ชวนท้าวเทวินทราธิราชให้แข่ง
เอาชนะกัน ในทางกล่าวภาษิตโต้ตอบกันเป็นสงครามปาก ท้าวสุชัมบดีทรงยอมตาม พวกเทวดา
พวกอสูรเคยอยู่ในชั้นดาวดึงส์มาก่อน จึงให้
ท้าวเปจิตติเริ่มก่อน จอมอรมรตรัสแก้ คำของท้าวเวปจิตติ ในหนหลังโต้ตอบกันไปมา ในที่สุด
ชุมนุมนั้นติดสินว่า ภาษิตของท้าวเวปจิตติเป็นเหตุจับทัณฑะศัสตราประหัตประหารกัน ภาษิต
ของท้าวสักกเทวราชเป็นเหตุระงับความเบียดเบียนให้ท้าวเทวินทร์ชนะ ทั้งสองฝ่ายตั้งอยู่ในโสรจะ
แสวงหาทางสงบสงครามด้วยเลิกสัมประการฉะนี้
แม้ความพิพาทในระหว่างบุคคลก็ดี
ใน
ระหว่างประเทศก็ดี อันผู้มีเกี่ยงข้องหาทางปรองดองโดยเรียบร้อย เช่นตั้งอนุญาโตตุลาการก็จัด
ว่าระงับด้วยโสรัจจะธรรม อีกประการหนึ่ง มีเหตุจะพึงใช้อำนาจ แต่หาทางผ่อนปรนที่จะไม่ต้อง
ใช้ได้เพียงไรก่อนจึงเห็นอุทาหรณ์ เช่นมีพระพุทธานุญาตให้สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมขับภิกษุผู้
ลามกจากอาวาส มีธรรมเนียมที่สงฆ์จะพึงห้ามภิกษุนั้นแต่โดยดีก่อนถึง ๓ ครั้ง ต่อไม่ฟังจึงสวด
ประกาศทำกรรมนั้น อนึ่ง เมื่อมีเหตุอันจะพึงใช้ขันติ หาทางปลอบจิตมิให้นึกถึงความที่ไม่ได้ตั้งใจ
ว่ามีเป็นธรรมดา หรือมานึกถึงกัมมัสสกตา คือความที่สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน จำเสวยผล
แห่งกรรมที่ทำนั้น, ขันติแลโสรัจจะต่างเป็นอัญญมัญญปัจจัยแห่งกันแลกัน
คือต่างเป็นเหตุอิง
อาศัยกันแลกัน คนชอบในทงสงบเสงี่ยม จึงอดกลั้นเหตุอันไม่เป็นที่ปรารถนา คนถือขันติ ก็
จำต้องหาทางปลอบจิตมิให้อึดอัด กลับให้แช่มชื่นด้วยโสรัจจะ ต่างเป็นผู้ของกันฉะนี้ ชนมีโสรัจ
จะเป็นธรรม ย่อมมีสติสัมปชัญะสอดส่องเห็นการณ์ไกล ทำอะไรไม่หุนหันห่างความพลั้งพลาด
อันเป็นเหตุวิปฏิสารเมื่อภายหลัง เหตุดังนั้น โสรัจจะจึงเป็นมงคลอันล้ำเลิศ ให้เกิดวุฒิสิริสวัสดิ์
จัดเป็นประการที่ ๒
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ยังทรงพระคุณสมบัติ ๒ ประการนี้ให้เป็นไป
ในทางอันควรแล้ว จะพึงบำเพ็ญพระราชกรณียะสำเร็จโดยเย็น เป็นที่นิยมชมชื่นของมหาชน แต่
นั้นสิริสวัสดิพัฒนมงคล ก็จะเกิดมีแต่สมเด็จ ฯ เจ้า มีพระราชจรรยานั้นเป็นมูล
รัฏฐาภิบาลโนบายนั้น คือวิธีปกคองพระราชอาราจักร จะชักมาถวายวิสัชชนา เพียง
สังคหะหรือสงเคราะห์ คือการรู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจคน, คุณข้อนี้เป็นกำลังสำคัญ