อุเบกขาและกรรม มงคลวิเสสกถา หน้า 188
หน้าที่ 188 / 390

สรุปเนื้อหา

การฝึกอบรมจิตใจให้เข้าใจกรรมและผลของกรรมสามารถสร้างอุเบกขาในชีวิตได้ โดยการระวังใจไม่ให้เกิดความยินดีหรือยินร้ายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำใจให้สงบและเป็นกลางแม้เผชิญกับสภาพที่ไม่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการอบรมให้รับผลจากกรรมที่เกิดขึ้นในตน เรียนรู้ที่จะมีใจมัธยัสถ์ต่อตัวเองและคนอื่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีอุเบกขาที่ยั่งยืนในทุกสถานการณ์

หัวข้อประเด็น

-กรรมและผลของกรรม
-การอบรมจิตใจ
-อุเบกขาในชีวิตประจำวัน
-การฝึกสมาธิ
-การมีใจมัธยัสถ์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

คือ พิจารณาในบุคคลนั้นหรือทั้งหมวว่ามีกรรมเป็นของตนเป็น หัดคิดถึงกรรมและผลของกรรมหัดคิดวางลงไปให้แก่กรรม เหมือน จะใช้ข้อในข้างต้น วิธีอบรม ทายาท คือ รับผลแห่งกรรมของตนเอง เมื่อวางใจลงในกรรมได้ ใจก็จะเกิดเป็นกลาง คือเป็น อุเบกขาขึ้นได้ อุเบกขาในพรหมวิหารดังนี้ จึงอบรมให้มีขึ้นในจิตใจ วิธีอบรมคือ ระวังใจมิให้ขึ้น ลงด้วยความยินดียินร้าย ทั้งในคราวประสบสมบัติ ทั้งในคราวประสบวิบัติเมื่อภาระของจิตเช่นนั้น เกิดขึ้นก็พยายามระงับใจ อย่างให้กรรมรับผิดชอบเอาไปเสียเลย เมื่อทำจิตใจให้เป็นอุเบกขาได้ ก็หัดแผ่จิตเช่นนี้ออกไปแก่ คนอื่น เป็นทายาทรับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็ต้องรับผิดของกรรมนั้น อันที่จริงภาวะของจิตเป็นอุเบกขานี้ ย่อมมี อยู่เป็นธรรมชาติธรรมดาในเวลาปรกติ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความยินดี ยินร้ายก็เป็นอุเบกขาที่เป็นธรรมชาติธรรมดานี้ แต่ยังเจือด้วยความไม่รู้ที่เรียกว่า อัญญาณะ และจะเปลี่ยนไปเป็นความยินดียินร้ายขึ้นได้โดยง่าย พระบรมครูสั่งสอนให้ปรับปรุงภาวะที่มีอยู่ แล้วนี้แหละให้เป็นธรรมปฏิบัติขึ้น คือ ให้เป็นคุณอันบริสุทธิ์ ที่เกื้อกูลกว้างขวางออกไปไม่ใช่ใน เวลาที่ไม่มีเรื่องอะไรมากระทบจิตเท่านั้น แม้มีเรื่องมากระทบจิตใจยินดียินร้ายก็ระงับได้ ทำใจ ให้สงบให้เป็นอุเบกขาได้ด้วยความรู้ที่เรียกว่า ญาณะ หรือ ญาณ เพราะว่า ความยินดีที่เรียกว่า ราคะ ความยินร้ายที่เรียกว่าปฏิฆะ เป็นศัตรูที่ห่างของอุเบกขา ส่วนอุเบกขาด้วยความไม่รู้อันตัว ความไม่รู้อันเรียกว่า อัญญาณะนี้เป็นศัตรูที่อยู่ใกล้ของอุเบกขา ฉะนั้นในการปฏิบัติ เพื่ออบรม อุเบกขาพรหมวิหาร ก็พึงยกตนขึ้นเป็นพยานหรืออุปมาดังเช่น ว่าตนไม่ชอบให้คนอื่นมาเพ่งเล็ง ชอบใจอยากได้อะรของตน และไม่ชอบให้ใครอื่นมาหมายมั่นปองร้ายฉันใด ตนก็ไม่ควรจะไปคิด ยินดียินร้ายดั่งนั้นแก่คนอื่นควรจะมีใจมัธยัสถ์ คือ เป็นกลางฉันนั้น และให้ยกบุคคลที่เป็นกลาง ๆ ขึ้นมาเป็นอุปมาดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสสอนไว้ว่า “พึ่งแผ่จิตถึงสัตว์ทั้งปวง ด้วยอุเบกขา เหมือนอย่างเห็นบุคคลผู้มิใช่เป็นที่ชอบใจ มิใช่เป็นที่ชอบใจ ก็มีอุเบกขาฉะนั้น” อุเบกขาที่เป็นโพชฌงค์ คือ คือองค์แห่งความรู้โพชฌงค์มี ๗ ข้อ ตงต้นด้วยสติลง ท้ายด้วยอุเบกขา คือ เพ่งดูจิตที่เป็นสมาธิอย่างสงบเฉยอยู่ อุเบกขาในสมาธิ จิตที่จะเป็นสมาธิอย่างสูงต้องมีอุเบกขาที่บริสุทธิ์ แม้ในสมาธิชั้น ต่ำลงมาก็ต้องมีอุเบกขามาโดยลำดับ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ๑๙๓
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More