ความสำคัญของสติปัฏฐานในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา มงคลวิเสสกถา หน้า 320
หน้าที่ 320 / 390

สรุปเนื้อหา

บทความนี้เน้นการศึกษาเกี่ยวกับสติปัฏฐานและบทบาทในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยการมีสติในการฟังและการประพฤติตามคำสอน รวมถึงการแนะนำการปกครองที่มุ่งหวังความเจริญทั้งบุคคลและหมู่คณะ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของคุณธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการมีสติไม่ให้เผลอไปตามอารมณ์และความอยาก ส่วนประกอบต่างๆของสติปัฏฐานยังสำคัญต่อการรักษาความสมดุลในสังคม

หัวข้อประเด็น

-ความสำคัญของสติปัฏฐาน
-การฟังคำสอน
-การปฏิบัติของสาวก
-การปกครองในพระศาสนา
-คุณธรรมและจริยธรรมในพระพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) ๓๒๕ ซึมซาบ แลประพฤติหลีกออกจากคำสอน แต่ลางพวกเคารพฟังด้วยดี ตรับหูฟังตั้งจิต เพื่อจะเข้าใจ ซึมซาบ แลไม่ประพฤติหลีกออกจากคำสอน เมื่อสาวกประพฤติเป็น ๒ สถาน ศาสดาจารย์นั้นก็ไม่ เสียใจ ไม่แสดงความเสียใจ เพราะเหล่าสาวกที่ไม่เคารพรับนั้น แลไม่ดีใจ ไม่แสดงความดีใจ เพราะเหล่าสาวกที่เคารพรับนั้น มีจิตเป็นอุเบกขาเฉย เป็นกลาง และเว้นความยินดีแลความยิน ร้ายทั้งสองเสีย ดำรงสติสัมปชัญญะอยู่ ความที่ดำรงจิตให้สถิตอยู่ได้ด้วยสตินี้ เป็นสติปัฏฐานที่ ๒ อนึ่ง ศาสดาผู้กรุณาทรงแสดงธรรมเช่นนั้น ลางคราวเหล่าสาวกของศาสดานั้น พรักพร้อม กันคอยฟังด้วยดี ตรับหูฟัง ตั้งจิตเพื่อจะเข้าใจซึมซาบ แลไม่ประพฤติหลีกออกจากคำสอน เมื่อ เหล่าสาวกประพฤติดีชอบเช่นนั้น ศาสดานั้นก็เป็นผู้มีใจชุ่มชื่น แสดงความมีใจชุ่มชื่น แต่ราคะ ความยินดีไม่รั่วรดจิตได้ ดำรงสติสัมปชัญญะอยู่ ความที่ดำรงจิตให้สถิตอยู่ได้ด้วยสตินี้ เป็นสติปัฏ ฐานที่ ๑ ព ។ ຕ ศาสดาประกอบด้วยสติปัฏฐานที่ ๓ นี้ เป็นผู้สมควรจะสั่งสอนหมู่คณะได้ มีสติตั้งมั่น ไม่ป่า วนปั่นไปตามอาการของสาวกที่เป็นต่าง ๆ กัน เพราะสั่งสอนแนะนำในทางธรรมความดีความชอบ เป็นคุณแก่พระศาสนา มิได้มุ่งลาภสักการอย่างอื่นด้วยกำลัง เมตตากรุณาหวังประโยชน์แล ความสุขแก่สาวก ส่วนสาวกเหล่าใดทำผิดหน้าที่ก็เป็นโทษแก่สาวกเหล่านั้น สาวกเหล่าใดทำถูก หน้าที่ ก็เป็นคุณความดีเจริญความรู้ความฉลาด แก่สาวกเหล่านั้น หาเป็นโทษเป็นความผิดของ ศาสดาไม่, สติปัฏฐาน ๓ นี้ มีสติตั้งมั่น ไม่ป่วนปั่นไปตามอาการของบริษัทผู้สดับฟัง ส่วนติปัฏ ฐาน ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตร นั้น มีสติตั้งมั่นในกาย เวทนา จิต แลธรรม มีความรู้เท่าไม่ป่วนปั่น ไปตามความเห็นผิด แลความอยากทะเยอทะยาน สติปัฏฐาน ๓ กับสติปัฏฐาน ๔ มีใจความ ต่างกัน ด้วยประการฉะนี้ โดยนัยนี้ ท่านผู้ปกครองพระศาสนาแนะนำจักจูงประชาชน ถ้าเป็นความเจริญแก่บุคคล แต่เป็นความเสื่อมแก่หมู่คณะ การปกครองนั้นยังหาชอบไม่ ถ้าเป็นความเจริญแก่บุคคลแลแก่หมู่ คณะ แต่เป็นความเสื่อมแก่พระศาสนา การปกครองนั้นก็ยังหาเรียบร้อยดีไม่ ถ้าเป็นความเจริญ ตลอดทั้งบุคคล ทั้งหมู่คณะ ทั้งพระศาสนา การปกครองนั้น จัดว่าเป็นอย่างเยี่ยมบริบูรณ์ดีที่สุด เมื่อความสมบูรณ์แลเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาแล้ว ก็ย่อมปกแผ่ไปถึงหมู่คณะแลบุคคลลอดไป เทียบกับอธิปไตย ๓ คือ อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ไม่อาศัยผู้อื่น เป็นหลักมักล่อแหลม ใกล้กับความผิดความชอบได้ง่าย สู้โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ไม่ได้ เพราะอาศัยความคิด
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More