ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
๓๕๕
คดีอาชญาผู้รับสารภาพ โดยชื่นตา ทำความสะดวกแก่การพิจารณาก็ดี ก็เพื่อจะทรงนำพสกนิกร
ให้รู้จักประพฤติต่าง ๆ ต่อผู้ปกครอง ทรงยกย่องข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้กราบทูลด้วยความ
จริงใจ ไม่ทรงชุบเลี้ยงผู้กราบทูลเท็จหรืออำพราง ก็ดุจเดียวกันอาชีวะเป็นคุณสำคัญอันจะพึง
ปรารถนาทั้งในฝ่ายบรรพชิต ทั้งในฝ่ายคฤหัสถ์ ด้วยประการอย่างนี้
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า
ทรงอบรมพระคุณสมบัตินี้มาเป็นอาจิณ
พระราชทานความสะดวกแก่ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้จะกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติด้วย
ราชกิจ ทรงทำให้มีแก่ใจในอันปฏิบัติราชการ แลมั่นคงในความจงรักภักดีพระคุณสมบัตินี้ จัดเป็น
มงคลวิเศษที่ต้น.
ไมตรีนั้น แปลว่า ความเป็นมิตร โดยเนื้อความ ได้แก่ความผูกมิตร กล่าวโดยสาธารณ
นัย ชนผู้รักใคร่กันสนิท ชื่อว่ามิตร ได้ในคำว่า มาตา มิตต์ สเก ฆเร อริยมิตตกุกโร สิยา
คนสมควรทำพระอารยบุคคลให้เป็นมิตร. กล่าวโดยเฉพาะสหายผู้สนิท แลผู้มีเมตตา ชื่อว่ามิตร
ได้ในคำว่า
สหาโย อตฺถชาตสฺส
สหายย่อมเป็นมิตรของผู้มีกิจธุระเกิดขึ้นเนื่อง
ๆ
โหติ มิตต์ ปูนญี่ปุ่น
ลำพังเพื่อนร่วมการงานเป็นแต่สหายบ้าง
อมาตย์บ้าง ไม่ชื่อว่ามิตร ต่อเป็นผู้สนิทสนมกัน มีเมตตาในกันด้วย จึงได้ชื่อว่มิตร, มิตรนั้นมีทั้ง
ดีแลชั่ว ได้ในคำว่า กลยาณมิตฺโต ปาปมิตฺโต มิตรดีเรียกกัลยาณมิตร มิตรชั่ว เรียกว่า
ปาปมิตร.
ลักษณะเครื่องกำหนดรู้มิตร ๒ ประเภทนั้น ในสิงคาลาวทสูตร แสดงไว้ว่า มิตรชั่วย่อม
เป็นผู้ปอกลอก เป็นผู้พูดไม่ได้จริง เป็นผู้ประจบ เป็นผู้ชักพาในทางฉิบหาย เรียกมิตร
ประกอบด้วยลักษณะ ๔ เหล่านี้ว่า มิตตปฏิรูป คือคนเทียมมิตร, มิตรดีย่อมเป็นผู้อุปการะ
เกื้อหนุนกันจริง เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้เป็นผู้แนะนำในทางที่มีประโยชน์ เป็นผู้เอ็นดูรักใคร่
จริง เรียกมิตรเป็นผู้ประกอบด้วยลักษณะ ๔ เหล่านี้ว่า สุนัท คือคนมีใจดี, ในมิตตามิตตชาดก
ในทวาทสนิบาตแสดงมิตรแลอมิตรไว้อย่างละ ๑๖ ประการ ลักษณะอมิตร คือเห็นเข้าแล้ว ไม่ยิ้ม
แย้ม ไม่ยินดี มีนัยน์ตาไม่จับเขา ประพฤติขัดกัน คบหาชนผู้เป็นศัตรูของเขา ไม่คบหาชนเป็น
มิตรของเขา ย่อมคัดค้านชนผู้พูดยกคุณสรรเสริญชนผู้ด่าว่าติเตียน ไม่บอกความลับของตนแก่เขา
ส่วนความลับของเขาไม่ช่วย