ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๑๖๔
พระราชกรณียกิจทั้งปวงที่ทรงปฏิบัติแล้วก็ดี ที่กำลังปฏิบัติที่ดี ที่จะทรงปฏิบัติต่อไปก็ดี
ที่เป็นไปตามโครงการพระราชดำริทั้งปวง
เพียงประการเดียวก็ยากที่จะพรรณนาให้จบลงใน
กถามรรคกัณฑ์เดียวนี้ จะรับพระราชทานบรรยายถวายโดยสังเขปเพียงบางประการ
เมื่อต้นปีนี้ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ได้เสด็จพระราชดำเนินแปร
พระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงติดตาม
ผลงานความก้าวหน้าของโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินตามพระราชดำริในเขตภาคเหนือโดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง โครงการอนุรักษ์และพัฒนาแบบ “เบ็ดเสร็จ” ในท้องถิ่นภาคเหนือเองเป็นเนื้อที่ถึง ๑๐
กว่าล้านไร ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีกว่าบริเวรดังกล่าวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย
จึงทรงเน้นให้ฟื้นฟูที่อันมีค่าหาที่เปรียบมิได้ดังกล่าวโดยเร่งรัด
ประการแรกระงับการตัดไม้
ทำลายป่า ประการที่สองเร่งปลูกป่าทดแทนให้กลับฟื้นคืนสภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในคราวที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงตรวจงานตามพระราชดำริ ณ โครงการพัฒนา
ลุ่มแม่น้ำแม่ผาแหนกับดอยโตนในทิวเขาผีปันน้ำตะวันตก ทรงพราชดำริย้ำแล้วย้ำอีก การพัฒนา
และฟื้นฟูป่าไม้ต้นน้ำลำธารนั้น ต้องดำเนินการในแต่ละลุ่มน้ำ ส่วนวิธีการปลีกย่อยย่อมจะ
แตกต่างกันบ้างตามสภาพภูมิอากาศ แต่โดยหลักการใหญ่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้จะ
เป็นแม่แบบในการพัฒนา เพราะทรงทำให้เห็นประจักษ์แล้วว่าพื้นที่ที่ไม่มีใครต้องการแล้วเช่น
ห้วยฮ่องไคร้นั้น สามารถฟื้นฟูให้กลับชุ่มชื้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี หากคิดแต่จะทอดทิ้งป่าเสื่อม
โทรมทุกแห่ง จะทำให้ทะเลทรายคืบขยายออกไปทุกที แต่หากคิดสู้โดยการเร่งรัดฟื้นฟู ก็จะ
กลับกัน คือให้ป่าเข้าครอบคลุมทะเลทรายแทนจะสกัดกั้นไม่ให้ทะเลทรายขยายต่อไป ทฤษฎีอีก
ข้อที่ทรงกำชับนักหนา ก็คือต้องวิจัยอย่างจริงจัง และต่อเนื่องในเรื่องการลดการสูญเสียความชื้น
จากเขตป่าต้นน้ำลำธารที่เข้าไปฟื้นฟูสภาพ พูดง่าย ๆ ก็คือ ทดลองว่าพันธุ์ไม้ชนิดใดบ้างที่จะ
เหมาะสมที่สุดในการทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นพันธุ์ที่โตเร็ว สามารถดึงดูดความชื้นลงมาให้
มากที่สุดกับสามารถกันไม่ให้ความชื้นระเหยขึ้นไปเท่าที่จะทำได้
มีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งประเทศทั้งหมดประมาณ ๑๓ ล้านไร่ ได้ถูกทำลายโดยสาเหตุ
หลายประการ ทำให้จำนวนพื้นที่ป่าชายเลนลดลงเหลือประมาณ ๙ แสนไร่ สมเด็จบรมบพิตร
พระราชสมภารเจ้าทรงห่วงใยในปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างมาก ได้มีพระราชดำริ