ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
พ.ศ. ๒๔๘๒
๑
๓๕๙
ในปีนี้ (๒๔๘๒) จักถวายวิสัชนา ธรรม ๓ ประการ คือไมตรี สัจจะ ๑
รัฏฐาภิปาลโนบาย
๑
(ไมตรีถวาย พ. ศ. ๒๔๘๑)
สัจจะนั้น ได้แก่ความซื่อตรงในกันแลกัน เป็นธรรมผูกพันสามัคคีในระหว่างมิตรให้สนิท
สนมมั่นคง ขาดสัจจะแล้ว สามัคคีย่อมไม่เป็นไปได้, สามีกับภรรยาวางใจกันลงไปไม่ได้ ยากเพื่อ
จะปรองดองกัน มีแต่จะระหองระแหง ต่างอยู่ไม่เป็นสุข หรือหย่าร้างกันไปก็ได้ ต่อได้เห็นความ
ซื่อตรงของกันแลกัน จึงถูกใจกันอยู่ร่วมกันด้วยความพร้อมเพรียง ญาติต่อญาติ มิตรต่อมิตร
คิดระแวงกันยากเพื่อจะร่วมใจกันในกิจการ ต่อได้เห็นความสัตย์ของกันแลกันแล้ว จึงปลงใจลง
ด้วยกัน โดยที่สุด คนทำการซื้อขายด้วยกันคิดเอารัดเอาเปรียบกัน ย่อมทำด้วยกันไม่ยึด ต่อทำ
ตรงไปตรงมา จึงสมัครทำด้วยกัน สัจจ์ หเว สาธุตร์ รสาน์ สัจจะชื่อว่าเป็นรสดีกว่ารส
ทั้งหลายอื่น รสแห่งโภชนาหารอันอร่อย ก็เพียงชวนให้กลืนอาหารคล่อง รสคือกามคุณ ก็เพียง
ในเมื่อเกินพอดี
ส่วนสัจจะเป็นรสให้เกิดความยินดีของผู้ได้เห็นใจกัน ผูกพัน สามัคคีไว้มั่นคง ยังประโยชน์ให้
สำเร็จยืดยาว สัจจะนี้เป็นธรรมสำหรับท่านผู้สูงสุดในชุมนุมชน ในฝ่ายพระศาสนา จัดเป็นพระ
บารมีประการหนึ่ง โดยชื่อว่าสัจจบารมี ในพระบารมี ๑๐ ทัศ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแต่ครั้งแสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ จึงจัดว่าได้อีกอย่างหนึ่ง ว่า เป็น
พุทธการกธรรม คือคุณทำให้เห็นพระพุทธเจ้า ขาดสัจจะเสียแล้วความสำเร็จ พุทธภูมิย่อมมี
ไม่ได้เลย คำสอนในศาสนาที่ขาดสัจจะแล้ว จัดว่าเป็นคำสอนที่กล่าวชอบมิได้เลย ใน
พระพุทธศาสนาได้จัดการรักษาสัตย์ไว้ในส่วนศีลเป็นองค์ที่ ๔ แห่งเบญจศีล ในธรรมจริยาส่วนวจี
สุจริตเป็นองค์ที่ต้นแลเป็นองค์ที่ ๓ แห่งอัฏฐิงคิกมรรค โดยนัยนี้ ชนผู้ขาดความสัตย์ จักเป็นผู้มี
ศีล จักเป็นธรรมจารีจักเป็นอารยบุคคลหาได้ไม่
ชวนให้เพลิดเพลินในการดูการฟังการดมการลิ้มการถูกต้องอันเจืออยู่ด้วยโทษ