ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
อหิ นาโคว สงฺคาเม
อติวากย์ ติกฺขิสส์
๓๔๒
จาปาโต ปาติ สร์
ทุสสีโล หิ พหุชฺชโน
។
เราจักอดกลั้นถอยคำเกิน เหมือนช้างที่ทนลูกศร อันตกจากแห่งในสงคราม เพราะหมู่ชนเป็น
คนดีทุศีลมีอยู่มาก. นอกจากนี้ พระเทวทัตต์ผูกอาฆาตในพระองค์ด้วยเหตุที่มิได้ทรงยกย่อง
เหมือนสาวกอื่น คิดหาทางจะได้รับความยกย่อง แลทูลแนะนำขอให้ทรงบัญญัติกิจวัตรลางอย่าง
สำหรับภิกษุสงฆ์ ก็ไม่ทรงพระอนุมัติตามเธอเห็นว่า เสด็จอยู่กีดขวาง แลพยายามจะปลงพระ
ชนม์เสียเป็นหลายครั้ง แต่หาสำเร็จไม่ สมเด็จพระบรมโลกนาถเจ้าทรงตั้งอยู่ในขันติ มีเมตตา
อยู่เสมอ ไม่ได้ทรงแสดงวิหารแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ฝ่ายพระเทวทัตต์คิดมิชอบ ก็ได้ปรากฏตาม
ยถากรรม, พระโบราณาจารย์กล่าวคำประพันธ์สรรเสริญไว้ว่า
วธเก เทวทตฺตมหิ
ราหูเล ธนปาเล จ
โจเร องฺคุลิมาลเก
สพฺพตฺถ สมมานโส ฯ
แปลความว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระหฤทัยเสมอกันในชนผู้จงรักแลชนผู้ปองผลาญทั้ง
ปวง ทั้งในพระเทวทัตต์ ทั้งในบุรุษที่ส่งไปจะให้ฆ่าพระองค์ทั้งในองคุลิมาลโจรผู้มุ่งจะทำร้าย
พระองค์ ทั้งในพระราหุลพุทธวโรรส ทั้งในช้างธนบาล คือ ช้างนาฬาคิรี ที่พระเทวทัตต์ยุพระ
เจ้าอชาตศัตรูให้ปล่อยไป เพื่อทำลายพระชนม์ของพระองค์ ในคราวชุมนุมสงฆ์สาวกที่เป็นมหา
สมาคม ซึ่งเรียกว่าจตุรงคสันนิบาต แปลว่า ชุมนุมมีองค์ ๔ คือสาวกผู้มาชุมนุมนั้นล้วนเป็น
พระอรหันต์ขีณาสพผู้บริสุทธิ์แท้ ๑ ได้รับอุปสมบทแด่พระศาสดาเอง เรียกว่าเอหิภิกขุ เป็น
ภิกษุในยุคต้น ‹ ต่างมาเอง ด้วยไม่ได้รับนัดหมาย ๑ วันนั้นเป็นวันเพ็ญมาฆมาสถูกนักษัตร
ฤกษ์โบราณ เป็นดีถีที่ทำพิธีศิวาราตรีของพราหมณ์ครั้งนั้น ๑ พระองค์ประทานพรบรมพุทโธ
เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ ทรงยกขันติขึ้นตรัสโดยความเป็นคุณสมบัติของภิกษุเป็นประการ
ต้นว่า ขนฺติ ปรม ตโป ตีติกขา ความว่า ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตปธรรม คือคุณอัน
เผาผลาญบาปธรรมเป็นอย่างยิ่ง ขันติในที่นี้ หมายถึงความอดทนต่อเหตุแห่งทุกข์เป็นที่ตั้งแห่ง
โลภะ โทสะ โมหะ ครบทั้ง ๓ ประการ, หนาว ร้อย หิวระหาย เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ตั้งแห่ง
โทสะ, ทุกขเวทนาอันแรงกล้า เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ตั้งแห่งโมหะ, ท่านผู้เป็นสมณะ ย่อมมีขันติ
ธรรม รู้จักอดทนต่อเหตุแห่งทุกข์ทุกอย่างไป. ขันติเป็นธรรม
วาท