ข้อความต้นฉบับในหน้า
(เจริญ ญาณวรเถร)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
พ. ศ. ๒๔๗๖
๓๔๐
ขันติ
ในปีนี้ (พ.ศ. ๒๔๗๖) จะเลือกธรรมมารับพระราชทานถวายวิสัชนา ๓ ประการ คือ
๑ โสรัจจะ ๑ รัฏฐาภิปาลโนบาย ๑.
ขันติ นั้น คือความอดกลั้นต่อวัตถุไม่เป็นที่พึงใจอันมาถึงเฉพาะหน้า, คุณข้อนี้ เป็นธรรม
เกื้อกูลแก่ฆราวาส เป็นเครื่องรักษาสามัคคีในหมู่ สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญไว้ในอาฬ
วกสูตร โดยชื่อว่า ธิติ คือ ความหยุดใจไว้ได้ดังนี้ว่า
๑
ยสุเสเต จตุโร ธมฺมา
สัจจ์ ทโม ธิติ จาโค
สทฺธสฺส ฆรเมริโส
ส เว เปาจ น โสจติ ฯ
ความว่า ธรรม ๔ ประการ นี้ คือ ความสัตว์ ๑ ความข่มใจไว้ได้ ๑ ความหยุดใจไว้ได้
ความเผื่อแผ่ ๑ ของคฤหัสถ์ถชนใดผู้มีศรัทธา เชื่อกรรมเชื่อผล มีอยู่ คฤหัสถ์ถชนนั้นแล ละโลก
นี้ไปย่อมไม่เศร้าโศก อธิบายความว่า อันคนผู้เนื่องในหมู่ต่างคนต่างซื่อตรงต่อกัน ย่อมรักษา
ไมตรีอยู่ได้ ถ้าคิดคดต่อกันขึ้นเมื่อใด ไมตรีย่อมแตกเมื่อนั้น คนมีใจร้ายมักโกรธง่าย ข่มใจไว้ไม่
อยู่ มกทำหุนหัน ไม่รู้จักยั้ง มักเป็นคนทำให้ไมตรีแตก ถ้ามีอุบายข่มใจ ก็จะได้ห้หามความ
หุนหันนั้นเสีย แม้ผู้หนึ่งทำเกินด้วยความหุนหัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีขันติอยู่ ก็รักษาไว้ได้ ถ้าไม่
อดทนและทำตอบ ไมตรีก็จำแตก, คนใจคับแคบมีปกติคิดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมผูกไมตรีไม่ยั่งยืน
ถึงไหน ต่างมีใจเผื่อถ้อยทีถ้อยเกื้อกูลแก่กัน ไมตรีจึงจะมั่งคง, สมเด็จพระบรมศาสดาทรงยก
ขันติขึ้นตรัสว่า เป็นธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเกื้อกูลแก่ฆราวาสรักษาควาสามัคคีไว้ได้ดังนี้ โดยนัยนี้
วัตถุอันเป็นอารมณ์แห่งขันตินั้น คือวาจาที่บุคคลกล่าวด้วยตั้งใจจะเสียดแทงหรือให้ร้ายแลกิจการที่
เขาทำเกิน หรือมุ่งอนัตถะต่อ วัตถุเช่นนี้มากระทบบุคคใดเข้า บุคคลนั้นดำริหาทางระงับด้วย
อดกลั้นไม่ทำตอบ ได้ชื่อว่าขันติวาที ผู้มีปกติกล่าวสรรเสริญขันติสุภาษิตสำหรับขันติวาที่บุคคล
ว่า ขนฺติยา ภิยโย น วิชชติ ธรรมอันยิ่งกว่าขันติ ย่อมไม่มี ขันตินั้น ไม่ใช่ธรรม
สำหรับผู้ขาดความสามารถจะสู้เขาเท่านั้น ย่อมเป็นธรรม