ความไม่หวั่นไหวและญาณปรีชาของสมเด็จพระญาณสังวร มงคลวิเสสกถา หน้า 233
หน้าที่ 233 / 390

สรุปเนื้อหา

ในบทความนี้มีการพูดถึงความสำคัญของจิตที่อ่อนโยนและสมาธิในการทำงาน โดยสมเด็จพระญาณสังวรได้แสดงให้เห็นว่าจิตที่ไม่มีสมาธิเป็นจิตที่กระด้างและไม่สามารถทำงานได้ โดยการเปรียบเทียบเหมือนช่างทองที่ต้องใช้ความเพียรในการทำทองให้เหลวเพื่อผลิตงานให้สำเร็จ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงตบะที่สำคัญในการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ และวิริยะที่ต้องประกอบไปด้วยความอ่อนโยน ซึ่งจะทำให้บรรลุถึงความสำเร็จในแต่ละภารกิจ

หัวข้อประเด็น

-จิตอ่อนโยน
-สมาธิในการทำงาน
-ความเพียรและประสบความสำเร็จ
-ตบะในพระมหากษัตริย์
-การปฏิบัติตนให้ถูกต้อง

ข้อความต้นฉบับในหน้า

สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความไม่หวั่นไหวอ่อนน้อมไปเพื่อญาณปรีชาซึ่งเป็นอภิญญาชั้นสูงได้ ๒๓๗ คือจิตที่จะควรแก่การงาน คือปฏิบัติงานเพื่อญาณปรีชาได้ จะต้องเป็นจิตที่มีสมาธิ มีลักษณะอ่อน ใช้คำว่า มุทุภูตะ เป็น จิตอ่อน เมื่อพิจาณาดูก็จะเห็นว่าจิตที่ไม่มีสมาธิเป็นจิตที่กระด้างด้วยอำนาจนิวรณ์ คือ กิเลสที่ ไม่อาจน้อมไป เกิดขึ้นกลุ้มรุมอยู่ในจิตทำจิตให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย เพื่อพิจารณาปัญญาได้ ไม่อาจใช้จิตเช่นนี้ทำงาน เป็นอันว่าใช้ความเพียรไม่ได้ ไม่มีกำลังที่จะตั้งความเพียร จึงชื่อว่าไม่ควรแก่การงาน ต่อเมื่อจิต เป็นสมาธิ จึงควรแก่การงานคือควรตั้งความเพียรทำงานได้เพราะเป็นจิตอ่อนโยน เรียกว่ายอม ให้น้อมไปทำงาน แม้ในการทำงานทั่วไปด้วยความเพียร จิตก็ต้องอ่อนโยนให้น้อมไปเพื่อตั้งความ เพียรทำงานนั้น เพียรเพื่อทำอะไรให้สำเร็จ จึงต้องมีความอ่อนโยนยินยอมพอใจของจิตประกอบ อยู่ด้วย ในธานุวภังคสูตร แสดงอุปมาที่ทำให้เห็นได้ง่ายขึ้น ว่าเปรียบเหมือนช่างทองสุมทองใน เบ้า คือตั้งความเพียรสุมทอง ก็ต้องใช้ความเพียรให้พอดีมิให้มากไปน้อยไป บางคราวก็ต้องสูบ ลมให้แรง บางคราวก็ต้องพรมน้ำให้ไฟลดลง เพื่อให้ทองละลายให้พอดีทองจึงอ่อนเหลว ควรแก่ การงานผุดผ่องได้ที่ จึงเททองที่อุ่นเหลวได้ที่ ทำทองรูปพรรณต่าง ๆ ได้ตามปรารถนา วิริยะ กับมัททวะ ความอ่อนโยน จึงต้องประกอบไปด้วยกันดังนี้ มัททวะ เป็นทศพิศราชธรรมข้อที่ ๕ ตปะ หรือ ตบะ แปลว่าเผาผลาญ หมายถึงกุศลสมาทานอันเผาผลาญอกุศลวิตกบาป สมาทานวัตรตามแบบบัญญัติ เป็นอุบายอันจะสังหารอกุศลวิตกบาปธรรมแม้เพียง ขณะหนึ่ง สมัยหนึ่ง แต่ในพราหมณสมัย แสดงหมายถึงการปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่เช่น การ มีคำเป็นคาถาหนึ่งแสดงว่า พระอาทิตย์มีตบะ ส่องแสงสว่างในกลางวัน พระจันทร์มีตบะในกลางคืน เป็นต้น ผู้บำเพ็ญตบะ คือปฏิบัติหน้าที่ให้ บรรลุถึงความสำเร็จด้วยดี ย่อมเป็นผู้มีตบะ ปรากฏเป็นผู้มีสง่าเป็นที่ยำเกรง ดังที่พูดกันว่า มี ตบะ เดชะ ส่วนผู้ที่ไม่ปฏิบัติให้สมกับหน้าที่ฐานะของตนย่อมเป็นผู้ไม่มีตบะอย่างนั้น ไม่ปรากฏ เป็นผู้มีสง่า ไม่เป็นที่ยำเกรง มีภาษิตกล่าวไว้ในมหาสุตโสมชาดกว่า ธรรม ปกครองประชาชนเป็นตบะของพระมหากษัตริย์ พระราชาผู้เอาชนะผู้ที่ไม่ควรชนะ ไม่ชื่อว่าพระราชา เพื่อนผู้เอาชนะเพื่อน ไม่ชื่อว่าเพื่อน ภริยาผู้ไม่ยำเกรงสามี ไม่ชื่อว่าภริยา บุตรผู้ไม่เลี้ยงมารดาบิดาผู้แก่เฒ่า ไม่ชื่อว่าบุตร
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More