ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๕ - มั่งคลิดที่เป็นเปล เล่ม ๒ - หน้า ที่ 132
ผู้ใดให้เป็นไปใน ๒ ทัศนะหรือแม้ ๓ ทัศนะ ผู้มัน ชื่อว่า หยังลง สู่ ๒ ทัศนะ (หรือ) แม้ ๓ ทัศนะ. ด้วยคำว่า เอก ทัศนะ นี้ พระอรรถกถาจารย์แสดงว่า "ความที่บุคคลนี้ผู้มีอิทธิฤทธิ์อย่าง อัน สำเร็จแล้วโดยความ ซึ่งแสดงโดยมุฑิจจะเป็นทิฎฐิห้ามกรรม และวิมาทั้ง ๒ ในเบื้องต้น ย่อมเป็นบุรพภาพ แต่เมื่อการเข้าสู่สงู การกำหนดความเป็นธรรมผิดต่อ สุรพัทธิก็ทั้งหลาย ไม่ปะปนกัน เลยทีเดียว เพราะไม่เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน ดูกุจินิสสต์ว่าจารบรรลุ ซึ่งมีอารมณ์แตกต่างกัน เพราะการประชุมส่งได้ตามที่ของตน.' ด้วยคำว่า เอกสมิ โอกุกฺเขตติ เป็นต้น พระอรรถกถาจารย์แสดง ความมีอิทธิฤทธิ์ ๓ มีอิทธิฤทธิ์กัน และมีผลเสมอกัน เพราะฉนั้น ฐิติฑ์ึง ๓ นั้น เกิดขึ้นแก่บุคคลคนหนึ่งแล้ว ก็ไม่คละกันเลยทีเดียว. เมื่อฤทธิอิ่งหนึ่งให้ลงแล้ว ฤทธิ์นอกจากนั้นก็ผลอเพิ่มให้กำลัง. คำว่า วุฏฐานน นาม นี้ มีอรรถอธิบัติติมไป (คือต้องคิดนึก) หม้ออรรถอันนี้บังคับนึกนำไปแล้ว (คือชดเจนแล้ว) ไม่เหตุนัน เพื่อจะเผย แสดงคำนัน พระอรรถกถาจึงกล่าวว่า "กิณฺมหน" เป็นต้น. ชื่อว่า อุคถล่น ไม่มีมีกำลังมิได้กัล์ทราม มากมีกำลังมากเหมือนคุณโท ไ หเหตุนัน พระอรรถกถาจึงกล่าวว่า "เอกสมิยะ อุตฺถาวา นิยโต." พระอรรถกถายใส่ใจใคร่ถามว่า "เมื่อถือความโดยประการ อื่น แต่การกำหนดความเป็นธรรมผิด ก็พึงเป็นไปได้ถึงที่สุด ดูการ กำหนดความเป็นธรรมถูก, แต่การกำหนดความเป็นธรรมผิด หาเป็น ไปได้ดีที่สุดไม่, ผิวา เมื่อเป็นอย่างนั้นไซร้ วาจาทักทวงว่าเป็นตอ