ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค ๔ - มังคลิดที่ปะเปล เล่ม ๒ - หน้าที่ ๓๓๓
ทำกาลแล้ว บังเกิดเป็นนามงามมณีเปรต ใกล้สระชื่อถนอมมณฑะ
กลางวันสวยสมบัติ กลางคืนสวยทุก๋
พระเจ้ารุพพราชสี เมื่อเสด็จไปถนอม เสด็จขึ้นบ่า ถึงสระ
ถนอมมณฑะ โดยลำดับ เสด็จบัณณฑิตนามงามมณีเปรตนั้น นางลวง
ท้าวเธอ (ให้ทรงเชื่อแล้ว) เสด็จทุกครั้งในกลางคืน.
ท้าวเธอทรงทราบแล้ว ทรงดำรว่า "นางนี้ไป ณ ที่ไหนหนอ ?"
จึงเสด็จไปข้างหลังๆ ประทับย้อนอยู่ในที่ไม่ไกล ทรงเห็นสนบัวตัวหนึ่ง
ออกจากสระถนอมมณฑะ ก้านดั่งปุพะ ปุะ ปุะ จึงตัดสนบัวนั้นออก
เป็น ๒ ท่อนด้วยกัน สนบัวได้เป็น ๒ ตัว สนบัวที่พระราชทรงตัดอีก
ได้เป็น ๔ ตัว ทรงตัดอีก ได้เป็น ๘ ตัว. นางทูลว่า "ขันแตะพระเจ้ามี พระองค์ทรงทำอะไร ?"
ท้าวเธอตรัสว่า "เรื่องนี้ เป็นอย่างไร?" นางทูลว่า "ขอพระองค์จงอย่าทำ
อย่างนั้น จงทรงข่มก่อนพระเทวะลงบนพื้นดินแล้ว ทรงขี่ด้วย
พระบาท." ท้าวเธอได้ทรงทำอย่างนั้น สนบัวทั้งหลายหายไปแล้ว
วันนี้ กรรมของนางสิ้นแล้ว พระราช ทรงมีปฏิสา เริ่มจะ
เสด็จไป. นางทูลว่า "ขอแต่พระองค์จงหวานกรรมของหม่นสิ้นแล้ว.
ขอพระองค์ก็อย่าได้เสด็จไป." พระราชมิได้นางฟังเลย เสด็จไปแล้ว.
[๒๔๖] ภูมิาสังกติสุดว่า "บทว่า โส ได้แก่ ผู้เป็นเจ้านอง
เรือน คือคำคตฯ บทธว่า ปุริมณฑลวา ความว่า เพราะเป็นปัจจัย
แห่งการตามเฝ. บทธว่า อติจาริ ได้แก่ ประพฤติล่วงเกินสามี คือ
ประพฤติผิด (ในสามี). สองบทว่า รุตติ ทุกข์ ความว่า ชื่อว่า ทุกข์