ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 35
กรรมฐานบท ( เดียวกับที่ตนใคร่จะถือ) นั้นแล้ว เจริญวิปัสสนา
อันมีฌานนั้นเป็นปทัฏฐาน ( จน) ได้บรรลุอาสวักขัย (นั้น) เถิด
ถามว่า ก็พระขีณาสพ ( ท่าน) ประกาศตนว่า อาตมาเป็น
พระขีณาสพหรือ ?
(
ตอบว่า จะต้องพูดอะไรกันเล่าด้วยว่า พระขีณาสพ (องค์หนึ่ง)
รู้ความที่ (ภิกษุรูปหนึ่ง) เป็น (การกบุคคล) ผู้ทำจริงแล้ว ก็ประกาศ
(ตนออกมา) พระอัสสคุตตเถระ (นั่นอย่างไร ) รู้ว่ากรรมฐานอัน
ภิกษุนี้เริ่มแล้ว ภิกษุนี้เป็นผู้ทำจริงดังนี้แล้ว (เหาะขึ้นไป ) ลาดธัมม
ขัณฑ์ในอากาศ นั่งโดยบัลลังก์ ( ขัดสมาธิ ) ณ จัมมขัณฑ์นั้นบอกกรรมฐาน
ให้มิใช่หรือ ?
เพราะฉะนั้น ถ้าพระโยคาวจร ได้พระขีณาสพ ( เป็นผู้ให้กรรมฐาน )
ไซร้ การได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ไซร้ จึงถือเอา ( กรรมฐาน )
ในสำนัก พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน ปุถุชนผู้ได้ฌาน
ผู้ทรงไตรปิฎก ผู้ทรงทวีปิฎก ผู้ทรงเอกปิฎกหลั่นกันลงมา แม้นว่า
ผู้ทรงเอกปิฎกไม่มี ภิกษุใดชำนาญ ( พระสูตร ) แม้นิกาย ๑ พร้อม
ทั้งอรรถกถา และตัวเธอเองเป็นลัชชีด้วย ก็พึงถือเอาในสำนักภิกษุนั้น
เถิด เพราะว่า ภิกษุ ( ผู้เป็นพหูสูตและเป็นลัชชี ) เช่นนี้ ย่อมเป็น
ผู้ทรงไว้ซึ่งแบบแผน ตามรักษาวงศ์ รักษาประเพณี เป็นอาจารย์
ผู้ถือตามพระไตรปิฎก ( เป็นสำคัญ ) ไม่ถือแต่อัตตโนมัติ เพราะเหตุ
นั้นแหละ พระเถระในปางก่อนทั้งหลายจึงได้กล่าว ( คติพยากรณ์)
ไว้เป็น ๓ คาบว่า ลชุชี รกฺขิสสติ ลชชี รกฺขิสสติ ลชชี รกฺขิสสติ