ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 254
ด้วยถือเอา ( คือกล่าวถึง ) อวิชชา สังขาร ก็เป็นอันถือเอา ( คือกินความถึง )
ตัณหาอุปาทาน ภพ ( ซึ่งเป็นเหตุคือเป็นกิเลสและกรรมด้วยกัน) ด้วย
เพราะฉะนั้น ธรรม ๕ ประการนี้ จึงจัดเป็นกรรมวัฏในอดีต ธรรม ๕ มี
วิญญาณ เป็นต้น ( คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา )
จัดเป็นวิปากวัฏในกาลบัดนี้ ด้วยถือเอา (คือกล่าวถึง) ตัณหา อุปาทาน
ภพ ก็เป็นอันถือเอา ( คือกินความถึง ) อวิชชา สังขารด้วย เพราะฉะนั้น
ธรรม ๕ ประการนี้จึงเป็นกรรมวัฏในกาลบัดนี้ (ด้วย) ธรรม ๕ ประการ
นี้ ( คือ วิญญาณ ฯลฯ เวทนา )จัดเป็นวิปากวัฏในกาลต่อไป (ด้วย)
เพราะด้วยการกล่าวถึง ชาติ ชรา มรณะ ก็เป็นอันชี้ถึงธรรม ๕ มี
วิญญาณเป็นต้น (ซึ่งเป็นธรรมมีชาติชรามรณะเป็นสภาวะ) ธรรม
เหล่านั้น โดยอาการจึงเป็น ๒๐ อนึ่ง ในธรรมเหล่านั้น ในระหว่าง
สังขารกับวิญญาณ มีสนธิ ๑ ระหว่างเวทนากับตัณหามีสนธิ ๑
ระหว่างภพกับชาติมีสนธิ ๑ ดังนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ทรงเห็น
คือทรงรู้ยิ่งเห็นจริง ซึ่งปฏิจจสมุบาท อันมี สังเขป ๔, อัทธา (กาล) ๓
อาการ ๒๐, สนธิ ๓ นั้น โดยอาการทั้งปวงโดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้
ความรู้นั้น ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่าหยั่งรู้ ชื่อว่าปัญญา
เพราะอรรถว่ารู้ประจักษ์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาใน
การกำหนดจับปัจจัย ชื่อว่าธรรมฐิติญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
ทรงรู้ธรรมเหล่านั้นตามจริงด้วยธรรมฐิติญาณนี้แล้ว ทรงหน่ายใน
ธรรมเหล่านั้น ทรงคลายความยินดีหลุดพ้นไป ชื่อว่าทรงกำจัด คือซื้อ
ทําลาย ซึ่งก๋าทั้งหลายแห่งสังสารจักรอันมีประการดังกล่าวแล้ว เพราะ