ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 54
มีอิริยาบถเป็นอาทิ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน จะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มี
จริตระคนคนเดียวไม่ได้เลยทีเดียวแหละ ส่วนวิธีบอกจริตอันใดที่กล่าว
ไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย วิธีบอกจริยานั้นเท่านั้นควรเชื่อถือเป็นสาระ
ได้จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ ( ในอรรถกถา) ว่า อาจารย์ผู้ได้เจโต
ปริยญาณ รู้จริยา ( ของอันเตวาสิก ) แล้วจึงบอกกรรมฐานให้ อาจารย์
นอกนั้น (ผู้ไม่ได้เจโตปริยญาณ ) จำต้องซักถามอันเตวาสิกเอา ( ให้
รู้จริยาแล้วจึงบอกกรรมฐานให้เขา ) ดังนี้ เพราะฉะนั้น จะรู้ว่าบุคคล
นี้เป็นราคจริต บุคคลนี้เป็นคนจริตอย่างใดอย่างหนึ่งในจริตที่เหลือ มี
โทสจริตเป็นต้นได้ ก็ด้วยเจโตปริยญาณ หรือมิฉะนั้นก็ซักถาม
(เจ้าตัว ) บุคคลนั้นเอา จึงจะรู้ ด้วยประการฉะนี้
[สัปปายะของบุคคลจริตต่าง ๆ ]
ส่วนวินิจฉัยในปัญหาข้อว่า " และอะไรเป็นสัปปายะของบุคคล
จริตอะไร " นั้น พึงทราบต่อไปนี้
(สัปปายะของคนราคจริต
สำหรับคนราคจริต อันดับแรก เสนาสนะ เป็นเสนาสนะที่มี
ยกพื้นอันมิได้เช็ดล้าง เสนาสนะที่ตั้งอยู่กะพื้นดิน เงื้อมเขาที่มิได้
ตกแต่ง บรรดาเสนาสนะเลวๆ ทั้งหลาย มีกุฏิหญ้าละโรงใบไม้
เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง เสนาสนะอันเกลื่อนไปด้วยฝุ่นละออง
เต็มไปด้วย ( มูล ) ค้างคาว หักๆ พังๆ สูงเกิน หรือไม่ก็เตี้ยเกิน
แห้งแล้ง น่าระแวงภัยทางเดินก็ไม่สะอาดและขรุขระ ในเสนาสนะใด
แม้เตียงตั่งก็โย้เย้คร่ำคร่า เต็มไปด้วยเรือด คนมองเห็นเสนาสนะใด