ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 53
( กลางวันไม่ลุกเป็นเปลว ) หุราหุริ ชาวนา ( พลุ่งพล่าน ) ดังนี้
เป็นต้น เปีนไปมากแก่คนวิตกจริต บัณฑิตพึงบอกจริยาโดยธรรม
ประวัติ ด้วยประการฉะนี้เทอญ
แต่เพราะว่า วิธีบอกจริยานี้ มิได้มาในพระบาลี มิได้มาใน
อรรถกถาทุกอาการ ร” ข้าพเจ้าว่าไปตามแนวอาจริยมัติเท่านั้น เพราะ
เหตุนั้น บัณฑิตจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อเอาเป็นสาระ ด้วยว่า แม้คนจริต
ต่างๆ มีโทสจริตเป็นต้น ที่ไม่เผลอตัว ก็อาจ (ปืน) ทำอะไรต่างๆ มี
อิริยาบถเป็นอาทิ ที่กล่าวไว้สำหรับคนราคจริตได้ และอาการทั้งหลาย
๑. ตอนกลางคืนครุ่นคิดไปว่า พรุ่งนี้จะทำกิจอย่างนั้นๆ เปรียบได้กับสุมไฟแต่พอเป็น
ควันกรุ่นอยู่ ครั้นถึงกลางวันลุกขึ้นประกอบกิจนั้นๆ ตามที่คิดไว้
เปรียบได้กับไฟที่สุมมาแต่ตอนกลางคืนนั้นลุกเป็นเปลวขึ้น เรียกว่า ทิวาปชฺชลนา
ศัพท์ ทิวาปชฺชลนา ในที่อื่น ๆ มีความดังกล่าวนี้ทั้งนั้น แต่ในที่นี้จะคงถือเอา
ความอย่างนั้น ไม่ได้กับความจริงในคนวิตก มหาฎีกาท่านก็เห็นเช่นนี้ จึงแก้ไว้ว่า
ตถาวิตกกิตาน เตส์ ทิวสภาเค อนุฏฐาน ทิวาปชชลนา ไม่ลุกขึ้นทำกิจที่คิดอย่างนั้น
ในตอนกลางวัน ชื่อว่า ทิวาปชฺชลนา ดังนี้ก็เท่ากับแนะให้ตัดบทว่า ทิวา อปชชลนา
นั่นเอง จึงแปลว่า กลางวันไม่ลุกเป็นเปลว เป็นลักษณะคนวิตกจริต ซึ่งได้แต่งคิดๆ
แล้วก็ไม่ค่อยทำตามคิด
ในฐานะอย่างนี้ ถ้าเป็น ทิวา อปชชลนา ก็จะเป็นการดี ไม่ต้องมีปัญหา
๒. คำ หุราหุรี ชาวนา นี้ มหาฎีกาท่านหมายเอาเป็นกิริยาของจิต แก้ไว้ว่า อิโต จิโต
จ ตตฺถ ตตฺถ อารมฺมณ จิตตโวสสคโค ปล่อยจิตไปทางนั้นทางนี้ คือในอารมณ์นั้น ๆ
ถ้าอย่างนี้ ก็ต้องแปลว่า ความคิดพลุ่งพล่าน (หรือใจลอย) แต่ที่แปลไว้ว่า พลุกพล่าน
นั้น หมายถึงกิริยาทางกาย เนื่องมาจากความจับจด ได้แต่คิด ๆ แล้วก็แล่นไปแล่นมา
ให้พล่านไป ไม่เป็นอันทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งนี้ด้วยเห็นว่า เรื่องคิดนั้นรวมอยู่ใน
รตฺติธมายนา แล้ว คำนี้จึงไม่น่าเป็นเรื่องคิดซ้ำอีก นักศึกษาพิจารณาดูเถิด
/๓. สพฺพากาเรน มหาฎีกาท่านว่า คำนี้ส่อว่า จริยาวิภาวนวิธาน นั้น ใคร ๆ ไม่อาจปฏิเสธ
ได้ว่า มิได้มาในบาลีและอรรถกถาเสียเลย ความจริงก็มีมาบ้างเป็นความเล็ก ๆ น้อย ๆ
ไม่เป็นสรรพากรอย่างอาจริยมัติที่นำมาพรรณนาไว้ในวิสุทธิมรรคนี้ แต่ความเข้าใจ
อย่างนี้ ขัดกับคำท่อนหลังที่ท่านปฏิเสธด้วยศัพท์ เกวล