ข้อความต้นฉบับในหน้า
ม.4
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 95
เป็นต้น ท่านกล่าวไว้เพื่อตัดตอน (ขนาด) ปฐวีนิมิตนั้น เพราะ
เหตุนั้น พระโยคาวจรแต่งวงกสิณให้ได้กำหนดขนาด ดังกล่าวนั้นแล้ว
อย่าใช้เกรียงไม้เพราะมันทำให้เกิดสีที่แตกต่างกัน (คือสีที่เป็นโทษ )
พึงใช้เกรียงหินปาด (ดิน) ทำให้เรียบเช่นหน้ากลองแล้วกวาดสถานที่
นั้นเสีย ( ให้เตียน) ไปอายน้ำแล้วจึงมานั่งที่ตั้งอันตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว
มีเท้าสูงประมาณคืบ 4 นิ้ว ซึ่งจัดไว้ตรงจุดที่มีระยะ ๒ ศอกคืบแต่วง
กสิณ เพราะเมื่อนั่งไกลกว่านั้น กสิณจะไม่ชัด ใกล้กว่านั้น
กสิณโทษจะปรากฏ” อนึ่ง ผู้นั่งสูงไป จะต้องโน้มคอลงดู ( นานเข้า
คอจะปวด) นั่งต่ำไป ( จะต้องคุกเข่าขึ้นดู นานเข้า ) เข่าจะปวด
เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรจึงนั่งตามนัยที่กล่าวนั้นแล้ว พิจารณา
๑. ปาฐะในวิสุทธิมรรค พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๒ ที่ใช้เป็นต้นฉบับแล ตรงนี้
เป็น รุกฺขปญฺณิกาย (วิสภาควณฺณ์ สมุฎฐเปติ..) แต่ในมหาฎีกา (พิมพ์ครั้งแรก
๒๔๖๘ หน้า ๒๐๕) เบน รุกขปณฺณิกา (ปฐมาวิภัติ) เห็นว่าปาฐะในมหาฎีกาถูก
เพราะสมุฎฐาเปติ ต้องเป็นกิริยาของ รุกฺขปญฺณิกา ๆ เป็นเหตุกัตตา จึงแปลเอาความได้
อนึ่ง มหาฎีกาท่านว่า เกรียงไม้ที่ทำให้เกิดสีเป็นสีวิภาคแก่ดินสีอรุณนั้น เป็นแต่
ไม้ลางชนิด (ที่มียางมาก) เช่นไม้ที่ท่านเรียกว่า กุจันทนะ (แปลว่าไม้จันทน์อย่างเลว
กระมัง) ส่วนเกรียงทำด้วยไม้ปกติก็ใช้ได้เหมือนดังเกรียงหิน (คือไม่ทำให้ดินเกิดสี)
๒. กสิณโทษในที่นี้ ไม่ใช่อย่างเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว มหาฎีกาท่านว่ารอยอะไรเล็ก ๆ
น้อย ๆ ซึ่งนั่งห่างพอสมควรย่อมมองไม่เห็น แต่ถ้านั่งใกล้เพ่งดูเขาจะเห็น เช่นรอย
ฝ่ามือ (ซึ่งอาจหลงตาเวลาแต่งเติมอยู่)
๓.
ชนุนกานิ รุชฺฌนฺติ (รุชฺชนฺติ ?) เมื่อนั่งสูงกว่าวงกสิณ ท่านบอกว่าจะต้องโน้มคอ
ลงดู ครั้นนั่งต่ำกว่า แทนที่ท่านจะบอกว่าต้องแหวนคอดู กลับบอกว่าเข่าจะปวด ถ้า
เช่นนั้นคงจะไม่ใช่แหวน เพราะถ้าแหวนก็ต้องปวดคอ เมื่อปวดเข่าจะต้องเป็นคุกเข่า
ขึ้นดู คุกเข่าอยู่นานเข้ามันก็ต้องปวดเข่าอยู่เอง ก็การนั่งเพ่งกสิณนั้น ท่านก็ให้นั่งตาม
แบบ คือนั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง เมื่อต้องมานั่งหย่งโย่หยกเช่นนั้น ก็เป็นนั่งผิดแบบ
ไม่น่าจะให้มีขึ้น