ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 106
การดูแลจิต ) สมาธินทรีย์ ไม่อาจทำอวิกเขปกิจ (กิจคือทำจิตไม่
ให้ซัดส่าย ) ปัญญินทรีย์ ไม่อาจทำทัสสนกิจ ( กิจคือการเห็นตาม
ความเป็นจริง ) เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์อันกล้านั้น พระโยคาวจรต้อง
ทำให้ลดลงเสียด้วยพิจารณาสภาวะแห่งธรรม” หรือด้วยไม่ทำในใจ
อย่างที่เมื่อทำเข้า สัทธินทรีย์เกิดมีกำลังขึ้นเสียได้ จริงอยู่ เรื่อง
พระวักกลิเถระย่อมเป็นตัวอย่างในข้อนี้ได้ แต่ถ้าวิริยินทรีย์กล้าไซร้
ทีนี้สัทธินทรีย์ก็ไม่อาจทำกิจอธิโมกขกิจ (กิจคือการน้อมใจเชื่อ )
อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่อาจทำกิจนอกนั้นแต่ละข้อ เพราะฉะนั้น วิริยินทรีย์
อันกล้านั้น พระโยคาวจรจำต้องทำให้ลดลงด้วยเจริญสัมโพชฌงค์มี
ปัสสัทธิเป็นต้น” ความที่เมื่อความกล้าแห่งอินทรีย์อันหนึ่งมีอยู่ อินทรีย์
นอกนั้นไม่สามารถในกิจของตนๆ ได้ (นั้น) บัณฑิตพึงทราบ
แม้ในอินทรีย์ที่เหลือ ( คือ สติ สมาธิ ปัญญา) โดยนัยที่กล่าว
แล้วนั้นเทอญ
๑.
[ทำอินทรีย์ ๒ คู่ให้เสมอกัน]
แต่ ( เมื่อจะว่า) โดยพิเศษ (ไม่ทั่วไป) ในอินทรีย์ ๕ นั้น
มหาฎีกาเติมความตรงนี้ว่า ทั้งนี้เพราะสัทธินทรีย์อันกล้าครอบงำเสียหมด
๒. ธมฺมสภาวปัจจเวกฺขเณน เข้าใจความได้ยาก อ่านมหาฎีกาแล้วก็ไม่ประจักษ์นัก
ดูเหมือนจะว่าดังนี้ การที่ให้พิจารณาสภาวะคือความเป็นจริงแห่งธรรม (สัทไธยวัตถุ ?)
นั้นก็คือให้ใช้ปัญญานั่นเอง อันสัทธากับปัญญาเป็นธุริยธรรม คือเป็นธรรมคู่ดุจพาหนะ
คู่แอก เพราะฉะนั้น เมื่อใช้ปัญญาขึ้น สัทธาอันกล้าย่อมจะลดลง คือไม่เชื่อไปท่าเดียว
รู้จักความจริงอันมีอยู่อย่างไรในสัทไธยวัตถุนั้นแล้วเชื่อตามเหตุผล
๓. มหาฎีกาว่า ด้วยคำว่า "เป็นต้น" นี้ จึงเห็นว่าท่านสงเคราะห์เอาสมาธิและอุเบกขา
สัมโพชฌงค์ด้วย