ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 181
ครั้นเมื่อพระโยคาวจรนั้นออกจากตติยฌานแล้ว มีสติสัม
ปชัญญะปัจจเวกขณ์องค์ฌานทั้งหลายอยู่ สุขกล่าวคือ โสมนัสเวทนา
เจตสิกสุข ปรากฏโดยความเป็นองค์หยาบ อุเบกขาเวทนาและจิตเต
กัคคตาปรากฏโดยความเป็นองค์ละเอียดในกาลใด ในกาลนั้นเมื่อเธอ
ทำในใจแล้วๆ เล่าๆ ซึ่งนิมิตนั้นนั่นแล โดยบริกรรมว่า ปฐวี ปฐวี
ดังนี้เพื่อละองค์หยาบและเพื่อได้องค์ละเอียดอยู่ ขณะที่ปรากฏว่า
จตุตถฌานจักเกิด มโนทวาราวัชชนะย่อมตัดภวังค์ ทำปฐวีกสิณ
นั่นเองให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ต่อนั้น ชวนะ ๔ หรือ ๕ ดวงย่อมเกิด
ในอารมณ์นั้นแล ซึ่งดวงหนึ่งในที่สุดเป็นรูปาวจรจิตมีจตุตถฌาน
ดวงที่เหลือเป็นกามาวจรจิตมีประการดังกล่าวแล้ว ( ในตอนแก้ปฐม-
ฌาน )แล แต่ความ (ต่อไป ) นี้เป็นข้อแปลก ( จากความที่กล่าวๆ
มาแล้ว ) คือเพราะเหตุที่สุขเวทนาหาเป็นปัจจัยโดยเป็นอาเสวนปัจจัย
แห่งอทุกขมสุขเวทนาไม่ อันอทุกขมสุขเวทนาจึงเกิดขึ้นในจตุตถฌาน
นั่นเอง เพราะเหตุนั้นชวนะ ( ในอัปปนาวิถี ) เหล่านั้น จึงเป็น
จิตสัมปยุตอุเบกขาเวทนา ก็เพราะสัมปยุตด้วยอุเบกขานั่นแล แม้
ปีติในฌานนี้ก็เสื่อมไปสิ้น
ก็ด้วยภาวนานุกรมเพียงเท่านี้ พระโยคาวจรนั้น เพราะละสุขด้วย
เพราะละทุกข์ด้วย เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไปก่อนเทียว ชื่อ
ว่าเข้าถึงฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีความบริสุทธิ์แห่งสติอันเกิด
แต่อุเบกขาอยู่ ด้วยประการดังนี้ จตุตถฌานปฐวีกสิณอันละองค์
กอบด้วยองค์ ๒ งาม ๓ ประการ พร้อมไปด้วยลักษณะ ๑๐ ก็เป็นอัน
พระโยคาวจรนั้นได้บรรลุแล้ว