ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที 155
ทั้งหลาย ภิกษุผู้บัณฑิตเฉลียวฉลาดนั้นแล ย่อมเป็นผู้ได้ทิฏฐธรรม
สุขวิหาร (ฌาน) ทั้งหลาย ได้สติสัมปชัญญะ นั่นเพราะเหตุไร
ภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุผู้บัณฑิตเฉลียวฉลาดนั้นเรียนนิมิตแห่งจิต
ของตนไว้ได้ดังกล่าวนั้น" ดังนี้
ก็แล เมื่อพระโยคีนั้นใช้วิธีจับอาการ (แห่งจิตของตนเป็นร่อง
รอย ) ทำอาการเหล่านั้นให้ถึงพร้อมได้อีก ก็ชั่วแต่อัปปนา สำเร็จ
ความตั้งอยู่นานหามีไม่ อันความตั้งอยู่นานจะมีได้ก็เพราะธรรม
ทั้งหลายที่เป็นข้าศึกแห่งสมาธิถูกชำระไปอย่างดีแล้ว แท้จริงภิกษุใด
มิได้ข่มกามฉันท์เสียอย่างดีด้วยปัจจเวกขณวิธีมีพิจารณาโทษของกาม
เป็นต้น มิได้บรรเทาถีนมิทธะเสียอย่างดีด้วยอำนาจแห่งมนสิการ
ปัสสัทธิ
มิได้บรรเทาถีนมิทธะเสียอย่างดีด้วยอำนาจแห่งกาย-
วิธีมีมนสิการถึงอารัมภธาตุ (ธาตุริเริ่ม) เป็นต้น มิได้ทำอุทธัจจ
กุกกุจจะให้ถอนขึ้นเสียอย่างดีด้วยอำนาจแห่งมนสิการวิธีมีมนสิการถึง
สมถะนิมิตเป็นต้น มิได้ชำระธรรมที่เป็นข้าศึกแห่งสมาธิอื่นๆ อีก
เสียด้วยดีแล้วเข้าฌาน ภิกษุนั้นจะออก ( จากฌาน ) เร็วโดยแท้
ดังแมลงภู่ที่เข้าสู่ ( ปล่อง ) ที่อาศัยอันมิได้ทำให้หมดจด ย่อมออกมา
๑ นี่ก็เหมือนกัน น่าจะมีเปยยาลอะไรตกหล่นอยู่บ้าง ถ้าเราไม่ได้อ่านคำพรรณนา
เรื่องนี้มาก่อน มาอ่านพระบาลีนี้ทีเดียว ก็แทบจะเข้าใจไม่ถึง ว่าท่านหมายความอย่างนี้
๒ ในที่นี้ท่านกล่าว กายทุฏจุลละ ในที่แห่งพยาบาท (หรือปฏิฆะ) ชอบกลอยู่ มหา
ฎีกาว่า กายทุฏจุลละ (ซึ่งแปลในที่นี้ว่า กายส่วนที่หยาบนั้น) คือความกระวนกระวายแห่ง
กาย หรือความที่กายกระสับกระส่าย พยาบาทนิวรณ์เป็นเหตุแห่งความกระสับกระส่าย
ทั้งทางกายละทางจิต เพราะฉะนั้น กล่าวกายทุฏจุลละแล้วก็ไม่ต้องกล่าวพยาบาท
(เพราะถ้าข่มพยาบาทไม่ได้ กายปัสสัทธิก็ไม่ได้ ?)