ข้อความต้นฉบับในหน้า
ม.4
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 96
เห็นโทษในกามทั้งหลาย โดยนัย ( พระบาลี ) ว่า กามทั้งหลายมี
คุณน่ายินดีน้อย ดังนี้เป็นอาทิ (จน) เกิดความพอใจในเอนขัมมะ
อันเป็นเครื่องสลัดกามออกไป เป็นอุบายก้าวล่วงสรรพทุกข์ ยัง
ปีติและปราโมชให้เกิด ด้วยระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มีความเคารพเกิดขึ้นในข้อปฏิบัติ ด้วยคิดเห็นว่า " เอนขัมมปฏิทานี้
นั้นเป็นทางที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวก
ทั้งปวงปฏิบัติกันมาแล้ว (จน ) บัดนี้ " ปลูกความอุตสาหะขึ้นด้วย
ความหวังว่า " เราจะต้องเป็นผู้มีส่วนแห่งรสของปวิเวกสุข ด้วยข้อ
ปฏิบัตินี้เป็นแน่แท้ " ดังนี้แล้วลืมตาดูโดยอาการพอดี ( เพ่งดู) ถือ
เอานิมิตภาวนาไป เพราะผู้เหลือกตา (ดู) ตาจะเมื่อย และดวงจะ
ปรากฏเกิน ( จริง ) ไปด้วย โดยวิธีนั้น นิมิต ( แท้ )ก็จะไม่เกิด
ขึ้นแก่เธอ ผู้หรี่ตา (ดู) ดวงจะไม่ชัด จิตก็จะหดหูไปเสียด้วย
แม้โดยวิธีอย่างนี้ นิมิต (แท้) ก็ไม่เกิด เหมือนกัน ) เพราะ
เหตุนั้น ต้องลืมตาโดยอาการพอดี (เพ่งดู) ถือเอานิมิตภาวนา
ไป ดุจดูนิมิตแห่งหน้า ( ของตน )ที่หน้าแว่น ฉะนั้น ไม่ต้อง
พิจารณาสี ไม่ต้องใส่ใจถึงลักษณะ (แห่งปฐวีนิมิตนั้น) แต่ว่า
จะทิ้งสีเสียก็ไม่ได้ จึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัย (ของมัน
๑. เนกขัมมะ ในที่นี้ มหาฎีกาว่าได้แก่ฌาน
๒. มหาฎีกาว่า คนที่ดูเงาหน้าของตนในแว่นนั้นย่อมไม่เหลือกตา ไม่
หรี่ตา ไม่พิจารณาสีของแว่น ทั้งไม่ได้ใส่ใจถึงลักษณะของแว่นด้วย แต่ใช้ตามองดูพอดี
เห็นแต่เงาหน้าของตนเองเท่านั้น ฉันใด พระโยคาวจรนี้ก็ฉันนั้น เพ่งดูปฐวีกสิณด้วย
อาการพอดี ขวนขวายแต่ถือจะเอานิมิตเท่านั้น ไม่พะวงถึงสีและลักษณะ
คำว่าลักษณะท่านหมายเอาลักษณะของปฐวีธาตุ คือความแค่นแข็ง