ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 65
ว่านั้น ไม่ผิดดอก เพราะพระโยคาวจรลางท่าน ถือเอานิมิตในอุทธุ
มาตกอสุภ หรือ....ในอัฏฐิกอสุภก็ตามที่ใหญ่ ลางท่านก็ถือเอา
นิมิตในอสุภนั้นๆ ที่เล็กๆ” โดยบรรยายนี้ ฌานของลางท่านจึงเป็น
อัปปมาณารมณ์ ของบางท่านจึงเป็นปริตตารมณ์ อีกอย่างหนึ่ง
บุคคลใดไม่เห็นโทษในการขยายอสุภนิมิตนั้น ขยาย (มาก) ไป ท่าน
หมายเอาฌานของบุคคลนั้น กล่าวว่า อสุภฌานเป็นอัปปมาณารมณ์ ก็
เป็นได้) แต่ (อย่างไร ) ก็ไม่ควรขยายไป เพราะไม่มีอานิสงส์ นั่นแล
และแม้กรรมฐานที่เหลือ ก็ไม่ควรขยายดังกายคตาสติ และ
อสุภนั่นแหละ ถามว่า เพราะเหตุอะไร ตอบว่าเพราะบรรดากรรม
ฐานที่เหลือนั่น ก่อนอื่น เมื่อบุคคลขยายอานาปานนิมิต ก็กอง
ลมเท่านั้นเจริญ และอานาปานนิมิตนั้นก็ถูกจำกัดโดยโอกาส” ด้วย
เพราะมีโทษ และเพราะถูกจำกัดโดยโอกาสดังนี้ อานาปานสติ จึงไม่
ควรขยาย
พรหมวิหาร ก็มีสัตว์เป็นอารมณ์ เมื่อพระโยคาวจรขยายนิมิต
แห่งพรหมวิหารนั้น ก็กองสัตว์เท่านั้นพึงเจริญแต่ว่าประโยชน์ด้วย
การเจริญกองสัตว์นั้นก็หามีไม่ เพราะเหตุนั้น แม้พรหมวิหารนิมิตนั้น
๑. มหาฎีกาท่านช่วยแก้เรื่องนิมิตใหญ่นิมิตเล็กว่า เมื่อถือเอานิมิตซากศพหมดทั้งตัว
ก็เป็นนิมิตใหญ่ ถ้าถือเอานิมิตเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งซากนั้นก็เป็นนิมิตเล็ก อีกนัยหนึ่ง
ถือเอานิมิตในซากที่ใหญ่หรือในซากของคนผู้ใหญ่ ก็เป็นนิมิตใหญ่ ถ้าถือเอานิมิตใน
ทรากทีเล็ก หรือในซากทารก ก็เป็นนิมิตเล็ก
๒. มหาฎีกาว่า เช่นจำกัดอยู่ที่ช่องปลายจมูกเป็นต้น