ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 176
คำนึงเป็นรส มีความไม่ต้องขวนขวายเป็นเครื่องปรากฏ มีความ
คลายไปแห่งปีติเป็นเหตุใกล้ แล
ในข้อนี้มีปัญหาว่า " ก็ฌานุเบกขานี้โดยความก็คือ ตัตรมัชฌิตตุ
เบกขานั่นเอง และตัตรมัชฌัตตุเบกขานั้นก็มีอยู่แม้ในปฐมฌาน
และทุติยฌานมิใช่หรือ เพราะเหตุนั้น อุเบกขานี้จึงเป็นข้อที่น่าจะ
ตรัสด้วยปาฐะว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ ดังนี้ ไว้ในปฐมฌานและ
ทุติยฌานนั้นบ้าง เหตุไฉนอุเบกขานั้นจึงไม่ได้ตรัสไว้ (ในฌานทั้ง
สองนั้น )"มีคำแก้ว่า " เพราะอุเบกขาในฌานทั้งสองนั้นมีกิจยัง
ไม่ชัดเจน แท้จริง กิจแห่งอุเบกขาในฌานทั้งสองนั้น จัดว่ายังไม่
ชัดเจน เพราะถูกปัจจนึกธรรมมีวิตกเป็นอาทิครอบงำอยู่ ส่วนอุเบกขา
ในตติยฌานนี้ เพราะความที่วิตกวิจารและปีติไม่ครอบงำ เป็นเสมือน
ว่าโงศีรษะขึ้นได้แล้ว จึงเกิดเป็นธรรมชาติมีกิจชัดเจน เพราะฉะนั้น
จึงตรัสไว้ "
พรรณนาความอย่างครบถ้วนแห่งปาฐะว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ
นั้น จบแล้ว
( แก้ สโต จ สมฺปชาโน )
บัดนี้พึงทราบวินิจฉัยในปาฐะว่า สโต จ สมุปชาโน นี้
(
(ต่อไป) ภิกษุชื่อว่า สโต เพราะระลึกได้ ชื่อว่า สมฺปชาโน
เพราะรู้ตัวโดยชอบ ( สองบทนั้นก็คือ ) สติและสัมปชัญญะ พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสโดยเป็นบุคคลใน ๒ อย่างนั้น สติ มีความระลึกได้
เป็นลักษณะ มีความไม่ลืมเป็นรส มีความระวังรักษาเป็นเครื่อง