ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 165
เหตุนั้นธรรมนั้นจึงชื่อว่า เอโกทิ คำว่า เอโกทิ นี้ เป็นชื่อแห่งสมาธิ
ทุติฌานนี้ยังเอโกทินี้ให้มี คือให้เจริญ เหตุนั้น ทุติยฌานนั้นจึงชื่อว่า
เอโกทิภาวะ ด้วยประการฉะนี้ อนึ่ง เอโกทินนั้น เพราะเหตุที่เป็น
ธรรมสำหรับใจ มิใช่สำหรับสัตว์ มิใช่สำหรับชีวะ เพราะเหตุนั้นจึง
ตรัสคำนี้ (ประกอบเจตโสไว้ด้วย) ว่า เจตโส เอโกทิภาว์ ดังนี้
ถามว่า " ก็ศรัทธานี้ และสมาธิอันได้ชื่อว่า เอโกทิ นี้ ถึง
ในปฐมฌานก็มีอยู่มิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไฉนจึงตรัสแต่
ทุติยฌานนี้ว่าเป็นสัมปสาทนะ และเป็นเจตโสเอโกทิภาวะเล่า ? "
เฉลยว่า " บัณฑิตพึงทราบว่า เพราะปฐมฌานโน่นยังไม่
ผ่องใสดี เพราะยังกำเริบอยู่ด้วยวิตกวิจาร ดุจดัง (ท้อง น้ำอัน
ป่วนอยู่ด้วยละลอกคลื่น ฉะนั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ศรัทธามี
อยู่ ท่านก็ไม่เรียกสัมปสาทนะ และเพราะยังไม่ผ่องใสดีนั่นแหละ
แม้สมาธิในปฐมฌานนี้ก็ยังไม่ชัดเจนดี” เหตุนั้น ท่านจึงไม่เรียกว่า
เอโกทิภาวะด้วย แต่ในทุติยฌานนี้ ศรัทธาได้ช่อง เพราะไม่มีวิตกวิจาร
เป็นกังวล จึงมีกำลัง และเพราะได้พลวศรัทธาเป็นสหายนั่นเอง แม้
สมาธิเล่าก็ชัดเจน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวแต่ทุติยฌานนี้เท่านั้น
ว่าเป็นอย่างนั้น " ส่วนในวิภังค์กล่าวไว้แต่ว่า " ศรัทธาอันใด ความ
เชื่อ ความปลงใจ ความเลื่อมใสยิ่งอันใด อันนั้นชื่อว่า สัมปสาทนะ
ด.
- มหาฎีกาให้ความรู้รอบตัวไว้ว่า ขุททกา อุมมิโย วีจิโย มหติโย ตรงคา คลื่น
เล็กเรียกว่า วีจิ (ละลอก) คลื่นใหญ่ เรียกว่า ตรังคะ
๒. มหาฎีกาช่วยคิดอุปมาให้ว่า พหเล วิย ชเล มจฺโฉ เหมือนปลูกในน้ำลึก (มอง
เห็นไม่ชัด)