ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 92
มิได้แต่งขึ้นก็ตาม (แต่ต้อง) เป็นดินมีที่สุด คือมีกำหนด สัณฐานกลม
ชักวงรอบได้ มิใช่ ( กว้างใหญ่จน) ไม่มีที่สุด คือ ไม่มีกำหนดสุด
สัณฐานไม่กลม ชักวงรอบไปไม่ได้ ขนาดเท่ากะโล่หรือเท่าชามอ่าง
เธอทำนิมิตนั้นให้ขึ้นดี” กำหนดจดจำไว้อย่างดี ครั้นเธอทำนิมิตนั้น
ให้ขึ้นดี กำหนดจดจำไว้อย่างดีแล้ว จะเป็นผู้เห็นอานิสงส์ มีความ
สำคัญ ( ในปฐวีนิมิต ) ว่าเป็นดวงแก้วแล้วตั้งความยำเกรง ( ใน
นิมิตนั้นด้วยเห็นเป็นสำคัญไม่ปล่อยให้เสื่อมไปเสีย) รัก ( นิมิตนั้น)
อยู่ ผูกจิตไว้มั่นในอารมณ์ (คือนิมิตที่ขึ้นดี) นั้น เธอสงัด
จากกามทั้งหลายทีเดียว ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌานอยู่" ดังนี้
พระโยคาวจรผู้ใดเคยบวชในพระศาสนาหรือว่าบวชเป็นฤษี ทำ
จตุกฌาน หรือ ปัญจกฌานในปฐวีกสิณ ให้เกิดมาแล้วแม้ในอดีตภพ
นิมิตในดินที่มิได้แต่ง ( ดังกล่าว) ในคำอรรถกถาโบราณนั้น คือใน
๑. มหาฎีกาว่า ในคำของพระโบราณาจารย์นี้ท่านประสงค์ว่า สุปปะ กับสราวะนั้น ขนาด
เท่ากัน ทั้งสองอย่างนั้นไม่ใหญ่นัก พอเป็นฝาปิดตุ่มได้ (จากปิธานปุปโหนก) อาศัย
นัยนี้จึงแปล สุปปะ ว่า กะโล่ แปล สุราวะ ว่า ชามอ่าง เพราะของสองอย่างนี้ขนาดไล่เลี่ยง
กันและเคยเห็นคนใช้ของสองอย่างนี้เป็นฝาปิดตุ่มจริง ๆ ด้วย
สุปปะ แปลว่ากระดังก็ได้ แต่ต้องเป็นกระด้งขนาดย่อม ซึ่งพอ ๆ กับกะโล่
เพราะถ้าเป็นกระด้งขนาดใหญ่ที่ใช้ฝัดข้าว อาจเหลือตาไป ส่วย สราวะ แปลว่า ขัน
ก็ได้ เห็นจะต้องหมายถึงขันโอ หรือขันสาครขนาดกลาง ๆ จะไม่เล็กถึงขันจอก เพราะ
มหาฎีกาท่านว่าอาจารย์ลางเหล่ากำหนดขนาด สราวะ ว่า ประมาณ ๑ คืบ 4 นิ้ว ส่วน
สุปปะ โตกว่านั้น แถมลางอาจารย์ว่า ทำวงกสิณขนาดเท่าร่มก็ได้
๒. ติ นิมิตต์ สุคุคหิต กาโรติ มหาฎีกาท่านว่า ลืมตาดูจนถือเอานิมิตในดินนั้นได้แล้ว
หลับตานึกดูนิมิตนั้นปรากฏเหมือนในขณะลืมตาดูเมื่อใด เมื่อนั้น ชื่อว่า สุคุคหิต กโรติ
ตามอธิบายนี้ ก็คือว่าทำให้เป็นอุคคหนิมิตนั่นเอง