ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 103
[โภชนะ และ ฤดู]
ส่วนโภชนะ สำหรับลางคนรสหวาน ลางคนก็รสเปรี้ยว เป็น
สัปปายะ แม้ฤดู ลางคนก็หนาว ลางคนก็ร้อน เป็นสัปปายะ
เพราะฉะนั้น เมื่อพระโยคาวจรเสพโภชนะใดก็ดี ฤดูใดก็ดี ความผาสุก
ย่อมเกิดมี ( จิตของเธอ ) ที่ยังไม่เป็นสมาธิย่อมเป็นสมาธิ หรือว่า
จิตที่เป็นสมาธิแล้วย่อมตั้งมั่นยิ่งขึ้นก็ดี โภชนะนั้นและฤดูนั้นนับเป็น
สัปปายะ โภชนะนอกนี้และฤดูนอกนี้นับเป็นอสัปปายะ
[อิริยาบถ]
ในอิริยาบถทั้งหลายเล่า ลางคน จงกรม เป็นสัปปายะ ลาง
คนก็นอน ยืน นั่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัปปายะ เพราะฉะนั้น
จึงลองดู (สัก ) ๓ วัน ดุจลองดูอาวาส ( ที่กล่าวแล้ว ) นั้น ใน
อิริยาบถใด จิต (ของพระโยคาวจร ) ที่ยังไม่เป็นสมาธิเป็นสมาธิ
ขึ้นก็ดี จิตที่เป็นสมาธิแล้วยิ่งตั้งมั่นขึ้นก็ดี อิริยาบถนั้นนับเป็นสัปปายะ
อิริยาบถนอกนี้( ที่จิตไม่เป็นสมาธิ ) นับเป็นอสัปปายะ
พระโยคาวจรพึงเว้น ๓ สิ่งนี้ที่เป็นอสัปปายะ แล้วเสพ ( ) สิ่ง
นั้น) ที่เป็นสัปปายะ ดังนี้เถิด ด้วยเมื่อปฏิบัติไปอย่างนี้มีการร้อง
เสพในนิมิตมากเข้า อัปปนาจะเกิดมีได้สําหรับลางคนโดยกาลไม่นาน
เลย
แต่เมื่อผู้ใดแม้ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น อัปปนาก็หาเป็นไม่ ผู้นั้น
สยนฏฐานนิสชฺชานํ อญฺญตโร อย่างไรท่านจึงอิริยาบถนอนด้วย หรือว่า นอน
เพ่งกสิณก็ได้ ?