ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - 1
เหล่านี้ (เป็นนิทัศนะ) ในความที่คันถะไม่เป็นปลิโพธสำหรับภิกษุผู้ไม่
ขวนขวาย
ได้ยินมาว่า พระเทวเถระผู้เป็นมิชฌิมภาณกะ ( สวดมัชฌิม
นิกาย) ไปสู่สำนักของพระเทวะเถระชาวมลัยขอ ( เรียน ) กรรมฐาน
พระเถระถามว่า อาวุโส ท่านเป็นผู้ ( ได้) ขนาดไหนในปริยัติ พระ
มิชฌิมภาณกะตอบว่าท่านผู้เจริญ มัชฌิมนิกาย ข้าพเจ้าชำนาญ
พระเถระกล่าวว่า อาวุโส อันมัชฌิมนิกายนั้นบริหารยาก เมื่อสาธยาย
มูลปัณณาสกะ มัชฌิมปัณณาสกะก็มา (คละ) สาธยายมัชฌิม
ปัณณาสกะเล่า อุปริปัณณาสกะก็มา (ปน) ( เมื่อยุ่งอยู่ไม่รู้จบเช่นนั้น )
ที่ไหนกรรมฐานจักมีแก่ท่านได้เล่า พระมิชฌิมภาณกะปฏิญญาว่า
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้กรรมฐานในสำนักของพระคุณท่านแล้ว จัก
ไม่เหลียวแล (คันถะนั้น) ต่อไปละ ดังนี้แล้ว รับเอากรรมฐาน( ไป
ทำความเพียร ) มิได้ทำการสาธยายถึง ๑๕ ปี ต่อปีที่ ๒๐ ได้บรรลุ
พระอรหัตแล้ว (วันหนึ่ง ) กล่าวแก่ภิกษุทั้งหลายผู้พากันมาเพื่อจะ
สาธยาย ( สอบ ) ว่า อาวุโสทั้งหลาย เมื่อเรามิได้เหลียวแลปริยัติมา
ถึง ๒๐ ปี แต่ว่าเรามีการสั่งสมได้ทำไว้ในปริยัตินั้น เชิญท่าน
| )
ทั้งหลายเริ่ม ( สาธยายไป ) เถิด ( เมื่อภิกษุเหล่านั้น สาธยายไป
ปรากฏว่า ท่านยังจำปริยัตินั้นได้ดี) ท่านมิได้มีความเคลือบแคลงแม้
หน้าที่ 27
* มหาฎีกาว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะหลงสุตตปเทส (ตำแหน่งพระสูตร ? ) และวาน
(ตอน) ซึ่งคล้าย ๆ กันก็มี ( ทำให้สาธยายเวียนวนไป จบไม่ลง ?)
เรื่องอย่างนี้ พวกเราไม่ใคร่จะเข้าใจ เพราะเราเกิดมาในสมัยที่พระไตรปิฎกพิมพ์
เป็นเล่มสมุดแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องท่องจำมากมายเช่นนั้น