ข้อความต้นฉบับในหน้า
ม.4
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 99
เปลือกสังข์ที่ขัดอย่างดีแล้ว ดุจดวงจันทร์ออกจากกลุ่มพลาหก ดุจ
ฝูงนกยาง (ขาว บินอยู่) หน้าเมฆ (ดำ) แต่ว่านิมิตนั้นหาได้เป็นสิ่ง
ที่มีสีสัณฐานไม่ เพราะถ้ามันเป็น ( สิ่งมีสีสัณฐาน ) เช่นนั้นไซร้
มันก็จะพึงเป็นสิ่งที่รู้ได้ทางจักษุ เป็นของหยาบ ลูบคลำได้ เข้า
ลักษณะ ๓ ได้ แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น แท้จริงมันเป็นสิ่งที่เกิดแต่
สัญญา ( ในภาวนา ) เพียงเป็นอาการที่ปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิเท่านั้น
เองแหละ ก็แลตั้งแต่เวลาที่ปฏิภาคนิมิตนั้นเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์
ทั้งหลายก็เป็นอันถูกข่มราบไป กิเลสทั้งหลายก็ระงับเรียบไป จิต
เป็นอันตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิแท้แล
[สมาธิ ๒ ต่างกัน]
ก็สมาธิมี ๒ คือ อุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑ จิตเป็น
สมาธิด้วยอาการ ๒ ในอุปจารภูมิอย่าง ๑ ในปฏิลาภภูมิอย่าง ๑ ใน
๒ ภูมินั้น ในอุปจารภูมิ จิตเป็นสมาธิด้วยการละนิวรณ์ เป็นปฏิลาภ
ภูมิ จิตเป็นสมาธิด้วยความปรากฏแห่งองค์ (ฌาน ) ส่วนข้อที่ทำ
ให้ต่างกันแห่งสมาธิ ๒ อย่าง (นั้น) ดังนี้ ในอุปจาร องค์ทั้งหลาย
ยังไม่เกิดกำลัง เพราะความที่องค์ทั้งหลายยังไม่เกิดกำลัง ( แม้ )
เมื่ออุปจารสมาธิเกิดขึ้นแล้ว จิตจึงถือเอานิมิตเป็นอารมณ์ได้พักหนึ่ง
ก็ตกสู่ภวังค์เสียพักหนึ่งๆ (ยังขึ้นๆ ตกๆ ) เปรียบเหมือนเด็กอ่อน
เขาพยุงขึ้นยืน (ตั้งไข่) ก็ล้มร่ำไป ฉะนั้น ส่วนในอัปปนา องค์
๑. ติลกขณภาพต มหาฎีกาไม่แน่ใจ แก้ไว้ ๒ นัย คือหมายถึงสังเขตลักษณะ ๓
หรือสามัญลักษณะ ๓ ก็ได้