ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 23
(คณปลิโพธ]
คณะภิกษุผู้เรียนพระสูตรก็ดี คณะภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรมก็ดี
ชื่อว่า คณะ ภิกษุใดมัวให้อุเทศบ้าง ปริปุจฉาบ้างแก่คณะนั้น ย่อม
ไม่ได้โอกาสสำหรับสมณธรรม คณะจึงเป็นปลิโพธต่อภิกษุนั้น คณ
ปลิโพธนั้น เธอจึงตัดเสียด้วยอุบายดังต่อไปนี้ ถ้างาน (เรียน) ของ
ภิกษุเหล่านั้นเสร็จไปแล้วมาก งานที่เหลือน้อยไซร้ เธอพึงทำงานนั้น
เสียให้เสร็จแล้วเข้าป่าไปเสียเถิด ถ้างานที่เสร็จแล้วน้อย ที่เหลือมากไซร้
เธอ ( จึงไปหาคุณวาจก ( ผู้สอนหมู่) อื่นให้สอนแทน) อย่างพึงไป
( ไกล ) เลย ๑ โยชน์ เข้าไปหาคุณวาจกอื่น ( ซึ่งตั้งสำนักอยู่) ภายใน
ที่กำหนด ๑ โยชน์ขอร้องให้ท่านช่วยสงเคราะห์ภิกษุในคณะของตน
ด้วยสังคหวิธีมีให้อุเทศเป็นต้น ( แทนตน ) เถิด แม้นไม่ได้อย่างว่า
มานี้ ก็พึงบอก ( ภิกษุเหล่านั้น ) ว่า "อาวุโสทั้งหลาย กิจอย่างหนึ่ง
ของข้าพเจ้ามีอยู่ ( ไม่อาจสอนท่านทั้งหลายต่อไปได้ ) เชิญท่าน
เสนาสนะซ้ำกับอาวาส น่าจะหมายเอาปัจจัย ๓ เท่านั้น
ที่ท่านแก้ไว้นั้น ดูจะจำกัดว่า ลาภนั้นเป็นปลิโพธแก่ภิกษุผู้มีบุญเท่านั้น หาเป็น
ปลิโพธแก่ภิกษุผู้มีบุญไม่ ซึ่งความจริงไม่น่าจะจำกัดเช่นนั้น เพราะแม้ภิกษุผู้ไม่มีบุญ
ใครถวายอะไรนิดหน่อย แปลว่ามีลาภน้อย ก็อาจติดใจข้องอยู่ในลาภนิด ๆ หน่อย ๆ
นั้น เกิดเป็นกังวลขึ้น จนไม่อาจตัดไปได้ เช่นนี้จะไม่จัดเป็นลาภปลิโพธหรือ แต่ก็อาจ
เป็นได้ว่าท่านมุ่งแสดงเป็นตัวอย่างว่า ลาภเกิดเป็นปลิโพธ ได้อย่างไรเท่านั้น หาได้มุ่ง
จํากัดความเช่นว่าไม่
ที่ว่า ถวายปัจจัยของบริวารมากนั้น มหาฎีกาให้ความหมายว่า เจตนามุ่งถวาย
ปัจจัยอย่างหนึ่ง แต่ถวายของอื่น ๆ ให้เป็นบริวารปัจจัยนั้นไปด้วย เช่นถวายบิณฑบาต
ก็ถวายสบงจีวรและของใช้อื่น ๆ เป็นบริวารบิณฑบาตไปด้วย นี้ก็เป็นอย่างที่เราทำอยู่
ทุกวันนี้ คำถวายทานทานต่าง ๆ ก็มีคำเช่นนี้แสดงไว้ด้วย เช่น อิมานิ มย์ ภนฺเต สปริวารานิ
ภตฺตานิ