ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 126
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นแต่นั้นชวนจิต ๔ หรือ ๕ ดวงย่อมแล่นไปใน
อารมณ์นั้นนั่นแหละ ในที่สุด ในชวนจิตเหล่านั้น ดวงหนึ่งเป็นรูปาวจร
ที่เหลือ ( ๓ หรือ ๔ ดวง ) เป็นกามาวจรจิต มีจิตมีวิตก วิจาร ปีติ สุข
และจิตเตกัคคตา มีกำลังกว่าปกติ ( กามาวจร) จิต ซึ่งท่านเรียกว่า
บริกรรมจิต เพราะเป็นจิตแต่งอัปปนาบ้าง เรียกว่าอุปจารจิต เพราะ
เป็นจิตใกล้ต่ออัปปนา หรือท่องเที่ยวอยู่ในที่ใกล้แห่งอัปปนา ดุจ
(ภูมิ) ประเทศใกล้ต่อสถานที่มีหมู่บ้านเป็นต้นก็เรียกว่าอุปจาร
บ้าน อุปจารเมืองฉะนั้นบ้าง เรียกว่าอนุโลมจิต เพราะเป็นจิตอนุโลม
( ไปกันได้ ) แก่บริกรรมจิต ( ในนานาวัชชนวิถี ) ทั้งหลายก่อนนี้ และ
แก่อัปปนาข้างหน้าด้วยบ้าง อนึ่ง ในบรรดาจิต (ที่ได้ชื่อว่า บริกรรม
อุปจาร และ อนุโลม ) เหล่านี้ ดวงใดเป็นที่สุดเขาหมด ดวงนั้นท่าน
เรียกว่า โคตรภู บ้าง เพราะครอบงำปริตตโคตร ได้ และทำมหัคคต
โคตรให้เป็นขึ้น
ว่าโดยลำดับแห่งชวนจิต ที่ท่านยังมิได้จัดไว้ในชวนจิตเหล่านั้น
ดวงที่หนึ่งเป็นบริกรรม ดวงที่สองเป็นอุปจารดวงที่สามเป็นอนุโลม
ดวงที่สี่เป็นโคตรภู อีกนัยหนึ่ง ดวงที่หนึ่งเป็นอุปจาร ดวงที่สองเป็น
อนุโลม ดวงที่สามเป็นโคตรภู ดวงที่สี่หรือที่ห้าเป็นอัปปนาจิต แท้จริง
ชวนจิตที่สี่เท่านั้น หรือไม่ก็ที่ห้า ย่อมเป็นอัปปนา ข้อนั้นก็เป็นด้วย
อำนาจแห่งขิปปาภิญญาและทันธาภิญญา ชวนะต่อแต่นั้นไปย่อมตก
* ปริตาโคตร (โคตรน้อย) หมายถึงกามภูมิ มหัคคตโคตร (โคตรใหญ่) หมายถึง
ฌานภูมิ หรือพรหมภูมิ