ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 63
ข้างต้น อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจึงบรรลุได้ และอรูปเบื้องสูง มี
วิญญาณัญจายตนะเป็นอาทิ พระโยคาวจรก็จำต้องก้าวล่วงอารมณ์
(เบื้องต่ำ) มีอากาศเป็นต้นเสีย จึงจะบรรลุได้ ในกรรมฐานที่เหลือ
(๒๑) การก้าวล่วง (อะไร)หามีไม่ แล
บัณฑิต พึงทราบวินิจฉัยโดยการก้าวล่วง ดังนี้
[วฑฺฒนาวฑฺฒนโต]
บทว่า " โดยเป็นกรรมฐานที่ควรขยายและไม่ควรขยาย (นิมิต)
" มีวินิจฉัยว่า ในกรรมฐาน ๔๐ นี้ กสิณ ๑๐ เท่านั้นควรขยาย (นิมิต)
เพราะว่า พระโยคาวจรแผ่ไปด้วยกสิณตลอดโอกาสเท่าใด ภายใน
โอกาสนั้น เธอย่อมเป็นผู้สามารถจะได้ยินเสียง (ทุกอย่าง) ด้วย
โสตธาตุทิพย์ ที่จะเห็นรูปทั้งหลายด้วยจักษุทิพย์ และที่จะรู้จิตของ
สัตว์อื่นๆ ด้วยใจ (ของตน) ได้ ส่วนกายคตาสติ และอสุภทั้งหลาย
ไม่ควรขยาย (นิมิต ) เพราะเหตุอะไร เพราะกายคตาสติและอสุภนั้น
ถูกจำกัดโดยโอกาส และเพราะไม่มีอานิสงส์ด้วยก็แล ความที่
กรรมฐานเหล่านั้นถูกจำกัดโดยโอกาสนั้น จักมีแจ้ง ( ในตอนว่า ) ด้วย
ภาวนามัย อันกรรมฐานเหล่านั้นครั้นพระโยคาวจรขยาย (นิมิต) ไป
ก็กองซากศพเท่านั้นเจริญ อานิสงส์น้อยหนึ่งหามีไม่ จริงอยู่ แม้
๑. มหาฎีกาว่า (จำกัด) โดยโอกาส ที่จะยืน (เช่นต้องยืนเหนือลม)
๒. มหาฎีกาว่า ขยายนิมิตไปก็เจริญแต่ซากศพ ถึงไม่ขยาย การข่ม
กามราคก็มีได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น จึงว่าไม่มีอานิสงส์ (หมายความว่า การทำกรรมฐาน
ประเภทนี้ ก็เพียงข่มกามราคะได้เท่านั้น จะขยายไปถึงอภิญญาหาได้ไม่