ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 293
ทางกลางไม่ไปใกล้อันตะ (ที่สุดโต่ง ) ทั้ง ๒ ข้างนั้นเอง ชื่อว่า
สวากขาตะ เพราะอริยมรรคนั้นแหละ ที่ตรัสว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา
สามัญผลทั้งหลายอันมีกิเลสระงับแล้วนั่นเอง ชื่อว่า สวากขาตะ เพราะ
สามัญผลนั้นแหละ ที่ตรัสว่าเป็นธรรมชาติมีกิเลสระงับแล้ว พระ
นิพพานอันเป็นสภาพเที่ยง สภาพ ไม่ตาย สภาพต้าน ( ทุกข์ ) และ
สภาพที่ลี้ ( ทุกข์ ) นั่นเอง ชื่อว่า สวากขาตะ เพราะพระนิพพานนั้น
แหละ ที่ตรัสโดยเป็นสภาพเที่ยงเป็นอาทิแลแม้โลกุตตรธรรมก็เป็น
สวากขาตะ โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้
[แก้บท สนฺทิฏฐิโก]
ส่วนวินิจฉัยในบทว่า สนฺทิฏฐิโก นี้ พึงทราบ (ต่อไปนี้ )
(นัยที่ ๑ แปลว่า " พึงเห็นเอง "J
ก่อนอื่น อริยมรรคชื่อว่า สนฺทิฏฐิโก เพราะเป็นธรรมอัน
พระอริยบุคคลผู้ทำความไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้นในสันดานของตนอยู่
พึงเห็นเอง ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า " ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้
กำหนัดแล้ว ถูกความกำหนัดครอบงำแล้ว มีจิตอันราคะยึดไว้รอบ
แล้วนั่นแล ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
บ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง ย่อมได้เสวย
* อันตะ ๒ คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค
เท่านั้น บรรดาสิ่งที่สุดโต่งไปคนละข้าง ท่านหมายเอาทั้งนั้น เช่น สัสสตะกับอุจเฉทะ
ลีนะ (หดหู่) กับอุทธัจจะ (ฟุ้งซ่าน) ปติฏฺฐานะ (หยุด ไม่พยายาม) กับ อายุหนะ
(พยายามไม่หยุด) เป็นอันตะทั้งนั้น