ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 107
บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญความเสมอกันแห่งสัทธากับปัญญาและ
สมาธิกับวิริยะ เพราะว่าบุคคลผู้มีสัทธาแก่กล้าแต่ปัญญาอ่อน
ย่อมเป็นผู้เลื่อมใสในที่อันไม่เป็นวัตถุ (แห่งความเลื่อมใส) บุคคล
ผู้มีปัญญากล้าแต่ศัทธาอ่อน ย่อมตกไปข้างอวดดี เป็นคนแก้ไขไม่ได้
เหมือนโรคที่เกิดแต่ยา รักษาไม่ได้ ฉะนั้น ต่อธรรมทั้ง ๒ เสมอกัน
บุคคลจึงจะเลื่อมใสในวัตถุ (แห่งความเลื่อมใส ) แท้ โกสัชชะย่อม
ครอบงำบุคคลผู้มีสมาธิกล้าแต่วิริยะอ่อน เพราะสมาธิเป็นฝักฝ่าย
โกสัชชะ อุทธัจจะย่อมครอบงำบุคคลผู้มีวิริยะกล้าแต่สมาธิอ่อน
เพราะวิริยะเป็นฝักฝ่ายอุทธัจจะ แต่สมาธิที่มีวิริยะประกอบเข้าด้วยกัน
แล้ว เป็นไม่ตกไปในโกสัชชะ วิริยะที่มีสมาธิประกอบพร้อมกัน
แล้วเป็นไม่ตกไปในอุทธัจจะ เพราะฉะนั้นอินทรีย์ทั้ง ๒ คู่นั้น
โยคาวจรต้องทําให้เสมอกัน ด้วยว่าอัปปนาจะมีได้ก็เพราะความเสมอ
กันแห่งอินทรีย์ทั้ง ๒ คู่
(อินทรีย์มีกำลังแต่ละข้อควรแก่กัมมิกะต่างกัน]
พระ
อีกนัยหนึ่ง สัทธาแม้มีกำลังก็ควรสำหรับสมาธิกัมมิกะ (ผู้
บำเพ็ญสมถกรรมฐาน ) (ด้วย) เมื่อสัทธามีกำลังอย่างนั้น เธอ
เชื่อดิ่งลงไป จักบรรลุอัปปนาได้ ในสมาธิและปัญญาเล่า เอกัคคตา
( สมาธิ ) มีกำลัง ก็ควรสำหรับสมาธิกัมมิกะ ด้วยเมื่อเอกัคคตามี
กำลังอย่างนั้น เธอย่อมจะบรรลุอัปปนาได้ ปัญญามีกำลังย่อมควร
สำหรับวิปัสสนากัมมิกะ ( ผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ) ด้วยเมื่อ
ปัญญามีกำลังอย่างนั้น เธอย่อมจะบรรลุลักขณปฏิเวธ (เห็นแจ้ง