ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - ปฏิสนธิเปาสถานกษาาน ๒ - หน้าที่ 99
เพราะว่ากิริยาผู้พร้อมจิตนั้น หาเสมอญธรรมมิไม่.
อันหนึ่ง ก็มิสถตางกาย (ญาณรู้ว่าสัตว์มีธรรมเป็นของตน)ซึ่ง
เป็นไปโดยนิยมว่า “ผลานาที่ให้แล้วมีอยู่ ผลาญาชั้นแล้วมีอยู่”
เป็นปัญญา จริงอยู่ ปัญญานั้น เมื่อพระพุทธเจ้าบดขึ้นแล้วตำ
มได่อุปติขึ้นดังกล่าว เป็นไปอยู่ในโลก. เมื่อพระพุทธเจ้าบดขึ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ย่อมชักชวนมหาชนให้
สมาทานในปัญญานั้น. เมื่อพระพุทธเจ้ามีอุปติขึ้น พระปัจเจก-
พุทธเจ้า สมพรหามนต์ พวกกรรมวิธีประพฤติชอบธรรม พระเจ้า
จักรพรรดิมหาราชา และพระมหาโพธิสัตว์ ย่อชักชวนมหาชนให้สมาทาน
(ในปัญญานั้น). สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นบัณฑิต ก็สมานแม่ด้วยตนเอง.
จริงอย่างนั้น อังคุฎเทพตุโรได้ถวายทานล้นปี. เวลามพรานบัณฑ์
พระเวสสันดร และมนุษย์อันติดเหล่านิ่มมาก ย่อได้ถวายทาน
แล้ว. เวลามพรานบัณฑ์เป็นดังนั้น ครั้งบำเพ็ญกุศลบรรลุมันให้
บริบูรณ์แล้ว ก็ได้สวยสมบัติในฤทัยของเทวเทพและในมนุษย์.
ส่วนวิปัสสนาญาณ ที่เป็นเครื่องกำหนดอาการคือใครลักษณ์
ท่านเรียกว่า “อภิปญฺญา.” จริงอยู่ อภิปญฺญานั้น เป็นปัญญาที่ถึงและ
สูงสุดกว่าบรรดาโลภิโปญฺญาที่หลาย ๆ ดูอีสานและอธิษฐาน ยิ่งและสูงสุด
กว่าบรรดาอิสิและจิตทั้งหลายจะนั่น นอกพุทธบาทาก หมาเป็นไปใน
โลกไม่. กิใปัญญาที่สมปฏุตด้วยมรรคนและผลนั้นแล เป็นปัญญาที่ยิ่งแมกกว่า
วิปัสสนาญาณนั้น. แตปัญญาที่สมปฏุตด้วยมรรคนและผลนั้น ท่านมิได้
ประสงค์เอาในอดิรานนี้. เพราะว่ากิริยาผู้พร้อมปัญญานั้น หาเสพ
เมุณธรรมมิไม่ จะนี้แล.