ข้อความต้นฉบับในหน้า
คู่มือวิชาแปลไทยเป็นครู ป.ธ.4-7
ประโยค ย แล้ว ก็ไม่นิยมวางนิบาตต้นข้อความไว้ในประโยค ๓ อีก หางวางไว้อีก ในเวลแปลล้มประโยค หรือแปลรวม ย ๓ นิบาทต้นข้อความในประโยค ๓ จะติดขัด แปลไม่ได้ จำเป็นทั้งโดยอัตโนมัติซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะ stนลเสียโดยไม่เปล
เพราะฉะนั้น จึงไม่นิยมวางบรรดาต้นข้อความไว้ในประโยค ๓ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ขอให้ดูตัวอย่างและลองแปลล้มประโยคดู จะรู้ความติดขัดได้ชัด
: ยทา ทิ ต นคร อุทิธิ ผิต อากิณฺนมุจสโล โหติ, ตทา จ โโน พลวดร สมนตราชาโน ต อุตโน เวส กาถู ปฏเณณี ๆ
: ยสมา ทิ อิเมย ปฺปิทยา สนุกานโต ปุคคลโลสาวชุ ช ปวิชเชตวา อนวชฺช โกรโนโต อุตตาน ปติฤาเปติ, ตสมา เจสา ปปิทฺปา สมมาปิท ทนาม โหติ ๆ
ในสองประโยคนี้ ประโยคแรก วาง หิ ศัพท์ไว้หลัง ยทา เป็น ยทา หิ แล้ววาง จ โน ศัพท์ไว้หลัง ตทา เป็น ตทา จ โน อีก และประโยคหลังวาง หิ ศัพท์ไว้หลัง ยสมา เป็น ยสมา หิ แล้วยังวาง จ ศัพท์ไว้หลัง ตสมา เป็น ตสมา จ อีก ถึงว่าวางนิบาทใว้ในประโยค ๓ โดยไม่จำเป็น เพราะจะไม่วางไว้ ก็สามารถแปลได้ความ และประโยคก็สลวยถูกต้องตามหลักภาษาอยู่แล้ว เมื่อวางเพิ่มไว้ อีกแทนที่จะดูดีรึสละสลวยขึ้น กลับดูเป็นส่วนเกิน และรุงรังไป