ข้อความต้นฉบับในหน้า
หลักการแต่งไทยเป็นมคธ ป.ธ.๙ ๓๐๓
ไทย : การสังคายนานั้น เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช เริ่มอุปถัมภ์
พระพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์ในอินเดียยังต่างกันเป็น
๒ นิกาย คือเป็นพวกที่ถือลัทธิเถรวาทนิกายหนึ่ง ถือ
ลัทธิอาจริยวาทนิกายหนึ่ง เนื่องจากสาเหตุซึ่งเกิดขึ้น
ครั้งทําทุติยสังคายนาดังกล่าวมาแล้วนั้น
แต่เมื่อถึง
สมัยชั้นนี้ยังเกิดลัทธิต่างๆ ในนิกายอันเดียวกัน นิกาย
หนึ่งมีลัทธิเรียกชื่อต่างๆ กันกว่าสิบลัทธิ ฯ
มคธ : อยญหิ ตติยสังคีตกถา ฯ ยทา กิร อโสโก นาม
ขตฺติโย มหาราชา อาโท พุทธสาสน สุปถมภ
การติ, ตทา ชมพูที่ปวาส ภิกขุสังโฆ เถรวาท-
นิกายิโก อาจริยนิกายิโกชาติ ทุวิธา วิภาคมาปชฺชิ ฯ
สา หิ ทุพพิธสงฺฆนิกาย สุปปตฺติ ยถาวุตฺตนเยน
ทุติยสังคีตกาลโตเยว ปาตุรโหสิ ฯ อถาปรภาเค
ตตฺเถว เอเกทสฺส สงฺฆนิกายสฺส ลัทธิ ที่สุตตราปิ
นานานามาห์ ลทหิ วิภาคมาปชช ฯ
(สนามหลวง ๒๕๓๘)
พึงสังเกตว่าการตีความสำนวนไทยตามตัวอย่างของสนามหลวง
ข้างต้น มุ่งความชัดเจนในเนื้อหามาก เมื่อแต่งเป็นภาษามคธจึงขยาย
ความออกไปตามสมควร และแยกความออกเป็นประโยคย่อยๆ หลาย
ประโยคเพื่อให้ได้ความชัดเจนขึ้น นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการตีความ
ในวิชาแต่งไทยเป็นมคธ