ข้อความต้นฉบับในหน้า
๒๒๔ คู่มือวิชาแปลไทยเป็นมคธ ป.ธ.๔-๙
การรับบริขาร ของพระเถระเหล่านั้น อันเธอถามด้วยความ
เอื้อเฟื้อหรือ
ควรแต่งเป็นรูปกับม.ว่า :
เตส์ ปริกขารคุคหณ์ เต อาปุจฉิต ฯ (ตามสำนวนไทย)
ไม่ควรแต่งเป็นรูปกัตตุ :
ก ตว์ เตสํ ปริกขารคคหณ์ อาปุจฉ ๆ
แต่ทั้งนี้มิใช่หมายความว่าแต่งไปแล้วเป็นผิด หาเป็นเช่นนั้นไม่
แต่ว่าท่านไม่นิยมทําเท่านั้น
ส่วนในวิชาแต่งไทยเป็นมคธ สําหรับชั้น
ป.ธ ๙ ย่อมทำได้โดยอิสระ ไม่บังคับ ทั้งนี้เพื่อความเจริญทางภาษา
ของผู้ศึกษานั่นเอง
ในการแปลงประโยคเหตุกัตตุวาจก เป็นเหตุกัมมวาจกก็ดี แปลง
ประโยคเหตุกัมมวาจก เป็นเหตุกัตตุวาจกก็ดี จึงเทียบเคียงตามที่กล่าว
มานี้
ข้อสำคัญ เมื่อแปลงแล้วต้องให้ได้รูปประโยคเป็นวาจกนั้นๆ
ทั้งชุด มิใช่เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ลักลั่นกันไป ทั้งนี้ให้ยึดรูปแบบวาจก
ตามที่ปรากฏในหลักเป็นแบบตายตัว คือ
เหตุกัตตุ : สามิโก สูท โอทนํ ปาเจติ ฯ
เหตุกัมม. : สามเกน สูเทน ( สูท) โอทโน ปาจาปิยเตฯ
พึงสังเกตดูว่า ในประโยควาจกเดิมนั้น ศัพท์ต่างๆ ประกอบ ด้วย
วิภัตติ ปัจจัยอะไร ทำหน้าที่อะไรในประโยค เมื่อแปลงมาเป็นอีก
วาจกหนึ่งแล้ว ศัพท์นั้นๆ จะต้องประกอบด้วยวิภัตติ ปัจจัยอะไร
และทำหน้าที่อะไร