ข้อความต้นฉบับในหน้า
๓๒๘ คู่มือวิชาแปลไทยเป็นมคธ ป.ธ.๔-๙
ทราบวิธีการปรุงประโยคแบบนี้ตามสมควร เพื่อจะได้สามารถปรุง
ประโยคแบบนี้ได้ดี สละสลวย ถูกความนิยมทางภาษา เพราะหากปรุง
ไม่ถูกแบบความนิยมแล้ว จะทำให้ประโยคภาษามคธนั้นรุงรัง ไม่สละ
สลวย และบางกรณีไม่ถูกหลักด้วย
จริงอยู่ แม้นักศึกษาจะเคยผ่านประสบการณ์เรื่องการเรียง
ประโยคแบบนี้มาบ้างแล้วในชั้นต้นๆ แต่ก็แต่งไปตามสํานวนที่มีเนื้อความ
เป็นประโยค เจ สเจ ยที่ ตามแบบที่มีอยู่ สำหรับในชั้นนี้มิได้เป็นอย่าง
นั้น คือนักศึกษาจะต้องกําหนดเอาเองว่า ข้อความตอนใดควรปรุงเป็น
ประโยค เจ สเจ ยที ข้อความตอนใดไม่ต้อง จะกำหนดเอาจากความ
ภาษาไทยที่มีคำปริกับว่า “ถ้า, ถ้าว่า” แล้วปรุงเป็นประโยค เจ สเจ
ยา ไปทั้งหมดเห็นจะไม่ได้ เพราะคำว่า “ถ้า” ในภาษาไทยนั้นไม่ตรง
กับคำปริกัปในภาษามคธว่า เจ สเจ หรือ ยที เสมอไป
เช่น สํานวนไทยว่า “คำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่มี
ประโยชน์มาก ถ้าประพฤติปฏิบัติตาม ย่อมได้รับความเจริญก้าวหน้า
โดยส่วนเดียว” ในสำนวนนี้คำว่า “ถ้า” ดูจะไม่จำเป็นที่จะต้องแต่ง
ตาม แม้จะตัดออกก็ยังได้ใจความเท่าเดิมอยู่
วิธีปรุงประโยค เจ สเจ ยที มีข้อสังเกตดังนี้
๑. เจ สเจ ยา เป็นนิบาตบอกปริกัป คือบอกกำหนดเงื่อนไข
ของเนื้อความในประโยค หมายความว่าเนื้อความตอนใดมีเงื่อนไข
คล้ายเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน เช่นว่าถ้าเป็นอย่างนี้จะมีผลอย่างนั้น
หรือถ้าท่าอย่างนั้นจะมีอย่างนี้ตามมา เนื้อความตอนนั้นจะต้องปรุงความ