ข้อความต้นฉบับในหน้า
๓๓๔ คู่มือวิชาแปลไทยเป็นมคธ ป.ธ.๔-๙
๓. กรณีที่แต่งประโยค ย ซ้อนกันในประโยคเดียว คือ มี ย
สองตัว ในประโยค ต ก็จะต้องมี ๓ ซ้อนกันสองตัว เพื่อให้รับกับ ย
และต้องวางศัพท์ให้ถูกตำแหน่ง กล่าวคือ ย ตัวแรกกับ ย ตัวหลัง
หมายถึงอะไร และวางอยู่ในตำแหน่งใด ๆ ตัวแรกก็ต้องวางไว้ใน
ตำแหน่ง ย ตัวแรก และ ต ตัวหลังก็ต้องวางไว้ในตำแหน่ง ย ตัวหลัง
เพื่อให้รับกันโดยไม่สับสน หากวางสลับที่กัน อาจทำให้สับสน ไม่สามารถ
รู้ได้ว่า ย ต ตัวไหนจับคู่กัน ในกรณีนี้มีตัวอย่างเช่น
: อนุนปานเภสัชเชส โย ย์ อิจฺฉติ, ตสฺส ต์ ยกิจฉิตเมว
สมฺปชฺชติ ๆ
๔. ในกรณีที่ใช้ประโยค ย ต บ่งถึงกาล คือ ยทา ตทา กิริยาคุม
พากย์ในประโยค ยทา นิยมประกอบเป็นวิภัตติหมวดวัตตมานา แสดง
ความเป็นปัจจุบัน แม้เนื้อความตอนนั้นจะระบุว่าเป็นอดีตหรืออนาคต
ก็ตาม เพราะเนื้อความในประโยค ยทา นั้นเกิดขึ้นหรือเป็นไปพร้อม
กับเนื้อความในประโยค ตทา ที่ตนขยาย แต่ในประโยค ตทา กิริยา
จะเป็นกาลอะไร ย่อมแล้วแต่เนื้อความเป็นสำคัญ เช่น
: ยทา หิ ภควา มหาปรินิพพานมญจเก นิปชชติ, ตทา
ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา อิมสฺม จกฺกวาเส สนุนิปติวา
ทิพพมาลาทีห์ ภควันต์ ปูเชส ฯ (มงคล. ๑/๔๘)
๕. เนื่องจากประโยค ย ต มีประโยชน์สำหรับขยายเนื้อความ
ให้มากขึ้นก็ได้ ย่อเนื้อความให้สั้นกระทัดรัดลงก็ได้และทําเนื้อความที่
สับสนให้ชัดเจนขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงสามารถปรุงประโยค ย ต ได้