ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิถีธรรมรมณ์แปลง ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าก 8
ปัญญา ปัญญาในยามวรคฤคจิต ๒ ควง และในมรรคจิต อันเป็นไปในปัญญามน ๔ ควง เป็นอุเบขาสดคตปัญญา ในทุกที่ ๕ ปัญญาในปรมรรค เป็นทัศนูปญญา ปัญญา ในมรรค ๓ ที่เหลือ เป็นภาวนวฤติปัญญา ปัญญาเป็น ๒ อย่าง โดยเป็นทัศนูมิ และความภาวนี ดังนี้แล
[ปัญญา ๓]
ในคือ (หมวดปัญญา ๓) ทั้งหลาย (มีอธิบดยิ่งนี้)
ในคือที่ ๑ ปัญญาที่ไม่ได้ฟังแต่นคนอื่นได้มา เป็นฉันความอัญญา เพราะสำเร็จโดยลำพังความคิดของตนเอง ปัญญาที่ฟังแต่ผู้อื่นแล้วจึงได้ มาเป็นสุดมปัญญา เพราะสำเร็จด้วยอำนาจการฟัง ปัญญาที่ถึงอัปปนานสำเร็จด้วยอำนาจตามอย่างใดก็แล้วแต่ เป็นภาวนามปัญญา สม คำ (ในวิภังค์) คลาดไว้ว่า “ในปัญญา ๓ นั้น ฉันความอัญญาเป็นในไหน ? บุคคลไม่ได้ฟังแต่ผู้อื่นแล้วได้งังกับมักตาญาณ หรือซึ่งสำอานไ-
ิ) อนตามบาลีพระสูตรเป็นฤทกนีย์ คือนิยมาน ๕ ทั่งนี้ แต่ในอธรรมนาทำจัด ใหม่ให้เป็นปัญญนีย คือเป็นนาม ๕ โดยล่วงไปเป็น ๑ ค ฬอญามาไป่อาในนาม ที่ ๕ พึงราบาในที่นี้น่านกล่าวมาโดยปริมาณนั้น
๒. คำว่าปัญญาถึงอัปปนา (อุปปนาปุปตุตา ปญฺญา) นี้ พึงอธิบายอยู่ เพราะ เคยฟังแต่ว่า อัปปน่าเป็นเรื่องของจิต มฤกษ์ท่านก็รู้สึกอย่างไรอยู่เหมือนกัน จึงว่า “คำว่าปัญญาถึงอัปปนานี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงความนามปัญญาที่ดีสุดยอด น น ปน อปนาปุตตา ภาวนยา แตไม่ใช่ว่านามปัญญาถึงอัปปนอก” คือเอา ความว่าปัญญาของผู้ที่ได้อัปนะ ก็จะได้ระมัง ?