ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิถีธรรมมรรคเปล่า ภาค ๓ ตอนที่ ๒ หน้าที่ 219
(ฝ่ายหนึ่ง) และโดย (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นปรัชญธรรม (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นปกัตพุทธธรรม สังจะ ๒ ข้างปลายล่า นับว่าสมรวมกัน เหตุเป็นธรรมทั้งอีกา เพราะเป็นธรรมลักษณะ เหตุเป็นโลกธรรมธรรม และเป็นอนาจารธรรมด้วยกัน (แต่) มีส่วนไม่สมอกัน โดยแยกกัน เป็นวิสัย (คือแดนจตุขุขฝ่ายหนึ่ง) และเป็นวิสัย (คือทางไปสู่ แดนนันฝ่ายหนึ่ง) และโดย (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นสังคิตธรรมธรรม (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นกว่าวัตพุทธธรรม อง์เล่า สังจะที่ ๑. กับที่ ๒ มีส่วนสมอกัน โดยเป็นข้อที่ถูกว่าว่าเป็นเหตุด้วยกัน (แต่) มีส่วนไม่สมอโดย (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นสงจรธรรม และ (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นสังขตธรรม ข้างฝ่ายล่างที่ ๒ กับที่ ๔ มีส่วนสมอกัน โดยเป็นข้อถูกอธิษฐ์ว่าเป็นเหตุด้วยกัน (แต่) มีส่วนไม่สมอกัน โดย (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นกุศลส่วนเดียว และ (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นอุตสลส่วนเดียว ฝ่ายข้างสังจะที่ ๑ กับที่ ๔ มีส่วนสมอ กันโดยเป็นนิวาสถานสังจรธรรม (ธรรมของพระสังจรมีใช้ของ พระอเวคะมีใช้) ด้วยกัน (แต่) มีส่วนไม่สมอกัน โดย (ฝ่ายหนึ่ง) เป็นสารมมนธรรม (ธรรมมืออารมณ์) และ (ฝ่ายหนึ่ง)
คัมภีร์นี้ท่านกล่าวว่า นิโรธียังได้แก่พวก นังคับจารมาแล้ว ตรงนี้ท่าน ใช้ไพรราชนิธิเป็นวิสัย มรรคเป็นวิสัย (ไม่ว่าเป็นผลเป็นเหตุคงสังจะ ๒ ข้างดัง) ก็เป็นทาการกลั่นกันได้ แต่แล้วต่อไปนั้นกลับว่าโรเป็นผลเช่นเดียวกันกับทุกข์ ฟัง สับสนอยู่ เมื่อพานาเป็นองค์ส่งตะแล้วจะอยู่ในระบบเหตุผลอย่างไรเล่า?