ข้อความต้นฉบับในหน้า
ทราบโปรดทราบว่า รูปภาพนี้มีข้อความดังนี้:
ประโยค - วิทยาธรรมแปล ภาค ๑ ตอน ๑ หน้า ๓๘
แม้แต่รูปเดียว
อุปาทายรูปนี้มี ๒๔ อย่าง กับกุศลรูปที่ล่วงมาตั้งแต่ ๕ อย่าง
เพราะฉะนั้น จึงเป็นรูป ๒๔ อย่าง ไม่หย่อนไม่ยิ่ง ด้วยประกาศนี้
[รูป ๑]
รูปทั้งปวงนั้นเป็นอย่างเดียว โดยนิยามว่า รูปเป็น เหตุ
(ไม่ใช่เหตุ) เท่านั้น เป็น อนเหตุ (ไม่มีเหตุ) เป็น เหตุวิปุล
(ไม่ประกอบกันเหตุ) เป็น สับปอาจะ (เป็นไปได้อประกอบ) เป็น
โลกะ (ถูกประกอบไว้ในโลก) เป็น สาละ (เป็นไปได้อาละสะ)
เท่านั้น
[รูป ๒]
เป็น ๒ อย่างด้วยอำนาจแห่งรูป (หมวด ๒) มีรูปคือ อัฐัม-
ติคะ (รูปภายใน) พาทีร (รูปภายนอก) โอพาริกะ (รูปหยาบ)
๑. มหากูฎา ช่วยอธิบายเนื่องรูปเพิ่มเติมว่า "ในกายนี้ พละ มีอุบิยง สัมมะ โรค
และชาติก็มีอายุยง ทั้ง ๕ นี้น่าจะเป็นอุปาทาย เพราะมหาตบตรมันมีจึ่ง เว้นมา
ดึงูรูปเปลี่ยนกันไม่ได้" ดังนี้ แต่ท่านผู้ตั้งวิทยาธรรมกล่าวว่า รูปที่ว่านี้มันรวมอยู่
ในอุปาทายและมหารูปแล้ว เช่น โรคุตริรมอยู่ในราดและอนิจจาตาแล้ว จึง
ไม่ควรแยกเป็นรูปร่างส่วนหนึ่ง ส่วนมิจฉูรูปที่ร่อรอยค่านว่าไม่มีมัน ก็เพราะมิระหะ
เป็นวิหาร ไม่ใช่รูป
อาจารย์ก็ตำว่า รูปนี้ ท่านว่าเป็นฝ่ายอุคี
๒. หมายความว่า เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นอย่างเดียว ไม่มีคำว่าเหตุ ได้แก่
กุศลมูลและอุปกูล มิวโละ และโลกันต์เป็นต้น รูปไม่ใช่เหตุ ไม่มีเหตุ ไม่ประกอบ
กับเหตุเช่นนั้น รูปที่เป็นเหตุ... เช่นนั้นหามิ ไม่
รูปเป็นไปกับอวัยวะ ไม่มีปัญหา รูปที่ไม่อ่าขัยปัญหาไม่มี รูปกปฏิของตน
ประกอบไว้ คือบังไว้ในโลกเท่านั้น รูปจึงเป็นแต่โลกันะ รูปโลกุตตระไม่มี รูป
เป็นไปอาสะ หมายความว่าเป็นสิ่งที่อาศัยทั้งหลายพึงพิงกันอยู่
(ข้อความนี้เป็นการแปลและสรุปเนื้อหาจากภาพที่ได้ OCR มา)