ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค~ วิทยธรรมวาระแปล ภาค ๓ ตอน ๑ หน้า ๕๒
มีจักขุวิญญาณเป็นอทิฤ เป็นลักษณะ มีการรับเอาธาตุอันมีรูปเป็นต้น เป็นรส มีความเป็นอย่างนั้น (คือเป็นสัมปฏิฐาน) เป็นปัจจุบัน
มีความไปปราศจากธัญญาธิฏฐานรือริญญาเป็นต้น เป็นปัจจุบัน
มโนวิญญาณธาตุ อันทำหน้าที่สติระเป็นต้น ทั้งสอง มีอันรู้แจ้งอารมณ์ ๖ ในลำดับแห่งเหตุวิญญาณเป็นลักษณะ มีการสอบสวนอารมณ์เป็นต้นเป็นรส มีความเป็นอย่างนั้น (คือเป็นสันติ-ระยะเป็นต้น) เป็นปัจจุบัน มัฑฑุตฏฐูไปปฏิบัติ เป็นความแตกต่างกัน (เป็นสอง) แห่งมโนวิญญาณธาตุนี้ เป็นเพราะประกอบด้วยโสมขันธ์ (๑) และอุปบากา (๑) และเพราะแยกเป็นทวิวิญญาณและปัญจฐาน จริงอยู่ ในมโนวิญญาณธาตุ ๒ นี้ คงหนึ่งชื่อว่าเป็นโสมขันธ์ปฏิญาณ เพราะมีความเป็นไปในบูรณภาพิธาน (อารมณ์อันนับปรากฏนับ) เป็นสภาพ จัดเป็นปัญจฐาน เพราะเป็นไปในปัจจุบันและในวิวิธวิญญาณมีชนะเป็นที่สุด ด้วยอำนาจแห่งสันติระและคตารามมะ คงหนึ่ง ชื่อว่าเป็นอุปบากามาสุข เพราะมีความเป็นไปในบูรณภาพิธานต์ตราม (อารมณ์อันนับปรากฏนับผลาปนกลาง) เป็นสภาพ จัดเป็นปัญจฐาน เพราะเป็นไปด้วยอำนาจแห่ง สันติระ คตาร่มมะ ปฏิสันฉิ วิวัฏ และอุตติ
อนึ่ง อนุคูติวิภาควิญญาณทั้ง ๔ นี้ (ยังแง่) เป็น ๒ เพราะ เป็นนิยตรามณฑ์ มีอารมณ์แน่นอนก็มี และอนิยมตรามัน มีอารมณ์
๑.๒. นี้กล่าวโดยลำดับว่าดังนี้ ปัญญาธรรมล่วงเลยไปแล้ว สัมปฏิฉะ จึงเกิด
๓. ทารามมะ ในคัมภีร์อื่นใช้ ตาลำพะแน่นอนก็มี เพราะอารมมะ กับ อลำพะแน่นความเดียวกัน