ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิถีธรรมกรมเปลภาค ๓ ตอนที่ ๒๖๐
สังขารทั้งหลายอันมีต้นหาเป็นเครื่องประดับ ซึ่งแม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยว่าเป็นเหตุแห่งสุขไป ก็คือสังขารทั้ง ๑ อย่างนั้น องค์นี้ เพราะไม่รู้ในนิรันดรในมรรค จึงเป็นผู้มีความสำคัญในคติธรรม (มี พรหมโลกเป็นต้น) ซึ่งแม้ไม่เป็นที่ดิบทุกข์ ว่าเป็นที่ดิบทุกข์ไป เป็นผู้มีความสำคัญในพฤติกรรม (บูชา) ยัญ และ (นำเสนอ) อร-ตะนะเป็นต้น ซึ่งแม้มิใช่งแห่งความดับทุกข์ ว่าเป็นทางดับทุกข์ไป เมื่อปราณความดับทุกข์ ก็อาจจะทั้ง ๓ อย่างขึ้นทางบุพพවิ- มรรครมีปัญญาและอรมตะเป็นต้น อันประกอบหนึ่ง บุคคลนั้น เพราะ ความที่อวิชาในสิ่งอัน ๔ ยิ่งไม่ได้บังกล่าวว่าแผ่แห่ง บุญ ซึ่งแม้แรกซ้อนด้วยอาทิตย์นพไทยเป็นอเนก มี ชาติ ชรา โรค และมรณะเป็นต้นอย่างวิเฉพาะ โดยว่าเป็นทุกข์ได้ จึงอาจอุบาสังขาร อันดำรงอยู่เป็นส่วนๆ เช่นเดียวกันว่าเป็นสุข เป็นวิบากมหุตุ อันจะก่อให้เกิดความร้อนใจในภพ
๑. อมตะ มหาฤกษ์ในความไว้ ๓ นั้น คือ ทุกกรรยที่คือว่าอย่างแล้วจะไม่ตาย ๑ การประพฤติพรหมเพื่อเป็นอมตะคือเป็นความหรือเทพเจ้า ๑ ตะบันอันทำลายตน เพราะทำตนให้เป็นทุกข์ ๑ นัยหลังนี้นำว่า อมใช้ในอรรถว่า มร คือดายนี้ ๒๒๐ ที่ตามแล้ว ๒๒๕
๒. มรุปุปะ แปลกันว่า “ความเกิดเป็นเทวตา” ก็มิแต่ปรารภลักษณะศัพท์แล้ว ศัพท์นี้ต้องแยกเป็น มรุ + ปฏ (ภูษา + ที่สาดชัน) ในมหาฤกษ์ไม่ได้แปลศัพท์นี้โดย ตรง แต่มีอธิษฐานความไว้ในรูป ‘ปฏา’ (ไม่ใช่ปฏา) ดังนี้ ชาตอญิปลาปะทุกข-ชนโน มรุปปลาสติสตา ปฏูญ+ฤกษ์มารส สัตตา- ท่านกล่าวว่าความที่บุญกิ- สังฐานเป็นชำนรรโปตะ เพราะเหวทุกข์ชาติเป็นตัน เป็นทุกข์ทุกข์ให้ใช้เกิด.