ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิชชาธรรมกวนเปล่า กาต ตอน ๓ หน้าที่ 265
แต่ก็มีใช้ไม่เป็นปัจจัย สมพระล่าว่า "เหตุ เป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุ-ปัจจัย แห่งธรรมทั้งหลายที่สัมปุญกันเหตุ และแห่งรูปทั้งหลายที่มิ
เหตุนี้เป็นสมุจฐาน" ดังนี้ อง์ สำหรับอองความติดทั้งหลาย ความเป็นอุปกูลก็ดี เว้นเหตุส่วนเสรีได้ (เพราะอุปกูลเป็นเหตุ-) แม้สำหรับเหตุจิตทั้งหลาย ความเป็นอุปกูลเป็นต้น ก็เนื่องด้วยโยษโสมกการเป็นต้น- มิใช่เนื่องด้วยสัมปุญเหตุ (เหตุผู้สัมปุญ) และหาว่าความเป็นอุปกูลเป็นต้น พึงมีได้โดยสภาวะแท้ในสัมปุญเหตุทั้งหลายไซร ในสัมปุญธรรมทั้งหลาย โโลกซึ่งเนื่องด้วยเหตุ ก็พึงเป็นกุศลบ้าง อุปกูลก็บ้างได้ แต่เพราะเหตุที่เป็นได้ทั้งสองอย่าง ในสัมปุญธรรมทั้งหลาย หาความเป็นอุปกูลเป็นต้น (ที่เนื่องด้วยเหตุ มิใช่เป็นโดยสภาวะ) ได้ฉันใด แม้เป็นเหตุทั้งหลาย ก็พึงความเป็นอุปกูลเป็นต้น (ที่เนื่องด้วยธรรมอัน มิใช่เป็นโดยสภาวะ) ได้ฉันนั้น
แต่อนึ่งที่จริง เมื่ออรรถว่าเป็นมูลแห่งเหตุทั้งหลาย บันฑิตไม่ถือเอาว่าเป็นเหตุหยั่งความเป็นกุศลเป็นต้นให้สำเร็จ (แต่) คือเอาโดยว่านเป็นเหตุความตั้งมั่นด้วยดี (แห่งธรรมทั้งหลาย) ให้สำเร็จ ดัง
๑. โดยพระบาลีว่า "โยนิโส ภูวา มนสิการโต เปัจ เฉ อวิทยานุทิฏฐิ คุณภิญญ์ ทั้งหลาย คุศรรธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และคุศรรธรรมทั้งหลายที่เกิดแล้ว ย่อมเจริญยิ่งแก่อีกผู้ทำในในโดยแบบคาย"
๒. ประชะแมไว้เป็น มูลอัจฉ ตรงนี้เป็นปุระ โยคัลกนะ มี คอยมาน เป็นลักษณญิกะ แสดงอยู่ แต่วันนาที่เป็นลักษณะบาดะจะไม่ปรากฏ พิจารณาแล้วก็เห็นแต่ มูลอัจฉ เท่านั้น เป็นลักษณะวันนะ จิตตกลงแก้เป็น มูลอัจฉ