ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิถีมรรคๅแปลกภาค ๑ ตอนที่ ๓๔๙
แล้ว ก็เรียกได้ว่า “สพายตะนะ”เหมือนกัน
ในข้อนี้ (มี) ผู้ม่วงกล่าวว่า “ผัสสะอันเดียวหาเกิดแต่อตนตะ
ทุกอย่างได้ไม่ ทั้งผัสสะทุกอย่างก็หาเกิดแต่อตนตะอันเดียวไม่ใช่ แต่
ผัสสะในปฐงจะว่า “สพายตะนะ”ผัสสะ ใครจะไว้เด้อนเดียว
ในฉนจรัสผัสสะนั้นแต่อตนเดียวล่ะ ?
นี้เป็นคำแก้ไขข้อวินั่น คือว่า…ผัสสะอันเดียวเกิดแต่อตนตะทุก
อย่างไม่ได้ หรือว่าผัสสะทุกอย่างก็หาเกิดแต่อตนตะอันเดียวก็ไม่ได้ นั่น
จริง แต่ผัสสะอันเดียวอ้อมเกิดแต่อตนตะหลายอย่างได้ เช่นกัน
สันผัสสะอ้อมเกิดแต่กายตะนะ (กับ) แต่ปฐตะนะ กล่าว
คืออัญญวิญญาณ และแต่ธรรมมตนะอันเป็นสุมปุุธรรมที่เหลือ (ร่วม
กัน) เป็นอานา บันต์ติพังประกอบความตามควรในผัสสะ (ข้อนี้)
ทุกข้อดังนี้นะ ที่กล่าวมานี้ ก็เพราะเหตุนี้แหละ
ผัสสะนี้นบก สพายตนะปัจจุบา ผลโล this
พระตทีเจจึงทรงแสดง โดยเอกาจวนินทก
๑. มาทูลูกเสริมความว่า อาจารย์วกแรกอธิว่า อายตนะภายในจิตเป็นต้น
ซึ่งเป็นสิ่งเกิดแต่กรรมมันดลประจำ เป็นปัจจัยแห่งผัสสะ ส่วนอายตนะภายนอก
มึรบเป็นต้น เป็นอนุปาทนกะ ได้แต่เป็นอารมณ์ของผัสสะ หาเป็นปัจจัยของผัสสะ
ตั้งอายตนะภายในไม่ จึงไม่น่าอาเป็นสพายตะนะในบทนี้ ส่วนอาจารย์พวกหลังถือว่า
เมื่ออะไรงามพอเป็นปัจจัยอะไร ๆ ได้ ก็จะมันเสร็จอะไรได้ จึงนำรวมเอา
อายตนะภายนอกเข้าในบทสพายตะนะด้วย
๒. เชนว่า โสตสัมผัส เกิดแต่โสตายตนะ กับลักษณะตนะ มานะตนะ คือ โสตธิญาณ
และแต่ธรรมมตนะ ที่เป็นสุมปุยตุธรรมที่เหลือ ๑ ล ฯ