ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิชาธรรมาภิบาล ๓ ตอนที่ ๓ หน้า ๓๘๔
มีความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย องค์ความทั้งหลายมีลักษณะเป็นต้น
ก็คงอย่างนั้น เหตุใด นั่นหนึ่ง อวิชชา มิใช่ของ มิใช่ของตน มิใช่ของตน
ตน มิใช่ตน แม้งังทั้งหลายมีลักษณะเป็นตนอย่างนั้น เหตุใด
เหตุนี้นะ ภาวะนั้น บันลึกพึงทราบว่่า ว่างเปล่าโดยสัญญา ๑๒
ประกาย (โดยนัยดังกล่าว)
[มูลและกาลแห่งวัฏจักร]
ก็แล้วครั้งทราบอย่างนี้แล้ว พึงทราบอีกว่า
[คาถาสังเขปมูลและกาล]
อวิชชาและตันหาเป็นมูลแห่งวัฏจักรนั้น กาลของ
มันมี ๓ มืดดำกลเป็นต้น องค์ในกล ๑ นั้นโดย
สรุปก็ ๒ และ ๔ และ ๒ เท่านั้นเอง
[ขยายความ]
ความว่า ธรรม ๒ คือ อวิชชาและตันหา พึงทราบว่า เป็นมูล
แห่งวัฏจักรนั้นนั้นแล ภาวะนั้นแก่ก็จัดเป็น ๒ ส่วน คือที่มีอวิชชา
เป็นมูลมีวามานเป็นที่สุด (เป็นวัฏจักร ๑) เพราะนำ (ปัญจบันผล) มาแต่
ส่วนเบื้องต้น (คือส่วนอดีต) ที่มีตันหาเป็นมูล มีรวมระยะเป็นที่สุด
(เป็นวัฏจักร ๑) เพราะต่อกับ (ผล) ส่วนเบื้องปลาย (คืออนาคต)
ในวัฏจักร ๒ ส่วนนัน ภาวะส่วนแรกกล่าวว่าด้วยอำนาจบุคคลกิริยาจริง
ส่วนหลังกล่าวว่าด้วยอำนาจบุคคลตันหาด้วยว่า อวิชชาเป็นสงสาร-
นำนึก (ผู้นำไปในสงสาร) สำหรับบุคคลกิริยาต่างๆ ต้นหา
เป็นสงสารนั่นก็สำหรับบุคคลกิริยาทั้งหลาย นั้นนี้ ภาวะที่ ๑