การเข้าใจอภิญญาและปราชญ์ในพระพุทธศาสนา ทุติยสมันตปาสาทิกา ภาค 1 หน้า 141
หน้าที่ 141 / 450

สรุปเนื้อหา

เนื้อหาในบทนี้พูดถึงคำว่า 'เตน จ โทษนะ' และ 'ตาย จ อนุปถมตาย' ที่สื่อถึงความไม่พอใจและการไม่มีข้อพิสูจน์ในปราชญ์ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายคำว่า 'อมุกฺกะ' ซึ่งมีความหมายว่า ไม่มีมูล คำอธิบายนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นปราชญ์และการวิเคราะห์สภาวะของโทษที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาถึงความสำคัญของการเห็น การได้ยิน และการรังเกียจในบริบทของข้อพิจารณาในพระพุทธศาสนาโดยท่านพระอุบาล.

หัวข้อประเด็น

-อภิญญา
-ปราชญ์
-โทสะ
-ความไม่พอใจ
-พระพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ประโยค(ตอน) - ดูเดอสมันปะสาทกาแปลง ภาค ๑ หน้า ที่ 140 คำว่า เตน จ โทษนะ ได้แค่ เพราะโทสะที่เป็นเหตุให้ เรียกภิญญว่า "มีโทษ" ด้วยบททั้ง ๒ นี้ ท่านพระอุบาล แสดงสงสารฉันชน็เหมือนกัน คำว่า ตาย จ อนุปถมตาย ได้แค่ เพราะความไม่ถูกใจ ที่เป็นเหตุให้เรียกภิญญว่า "ผู้ไม่ถูกใจ" คำว่า ตาย จ อนุภิริยะ ได้แค่ เพราะความไม่พอใจที่ เป็นเหตุให้เรียกภิญญว่า "ผู้ไม่พอใจ" ด้วยคำทั้งสองนี้ท่าน พระอุบาลแสดงเวทนานนี้ [อธิบายเรื่องอธิกรณ์มีมูลและ ไม่มีมูล] ในคำว่า อมุกฺกณ ปราชญฺณกณ นี้ พึงทราบวนิจฉังดังนี้:- ปราชญ์นั้น ไม่มีมูล เพราะเหตุนี้นั่นชื่อว่า อมุกฺกะ ก็ความที่ ปราชญ์นั้นไม่มีมูลนั่น ทรงประสงค์เอาด้วยอำนาจแห่งโจทย์ ไม่ใช่ ด้วยอำนาจแห่งจำเลย; เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ใน บทบาทนะ ท่านพระอุบาลจึงกล่าวว่า " ที่ชื่อว่าไม่มีมูล คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ" ด้วยบทบาทนะว่า อภิญฺญ คือมันนั้น ท่านแสดงอธิบายไว้ว่า "ปราชญ์ที่โจทย์ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ในตัวบุคคลผู้ เป็นจำเลย ชื่อว่า ไม่มีมูล เพราะไม่มีมูล กล่าวคือการเห็น การได้ยิน และการรังเกียจนี้ ก็จำเลยนั้น จะต้องปรากฏนั่น หรือ ไม่ต้องก็ตามมา ข้อที่จำเลยต้องหรือไม่ต้องนี้ ในเป็นประมาณนใน
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More