ข้อความต้นฉบับในหน้า
แนบเครื่องหล่อเลี้ยงที่ละเอียดอย่างอื่นเป็นอาหาร
ดังนั้นประเด็นของการหล่อเลี้ยงกายของพระโพธิสัตว์ในโพธิมสัตว์ปฏิกูล
สูตรนี้จะถือว่าตรงกันกับหลักการของวิชชาธรรมกายเฉพาะในกรณีที่กายธรรม
ไม่ต้องการอาหารหยาบเท่านั้น ส่วนกรณีที่กายเนื้อของพระโพธิสัตว์ไม่ต้องการ
อาหารหยาบนั่นแตกต่างจากคำสอนในวิชชาธรรมกาย แม้ว่าพระมงคลเทพมุนี
จะกล่าวถึงกรณียกเว้นที่กายเนื้อไม่ต้องการอาหารหยาบแล้วยังดำรงอยู่ได้
ระยะหนึ่งได้ด้วยกัน เช่นการที่พระสารุพุทธยันกันรมให้พระศาสดาได้เป็น
เวลา 7 วันโดยไม่ทิวโยถิ์เพราะผสาสาธาร (รส. 33) แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลา
หนึ่ง ไม่ใช่ตลอดเวลา และไม่ใช่เพราะกายเนื้อเป็นกายที่เนรมิตเอาได้ตามใจแต่
อย่างใด อันี่ แม้พระมงคลเทพมุนีจะเคยกล่าวถึงการแสดงอิทธิภิริยาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาโปรดสัตว์โลกไว้ด้วยก็ตาม(รส. 37-38) แต่ก็เป็น
เฉพาะกรณีพิเศษเท่านั้นที่พระองค์จะทรงทำอย่างนั้น และถึงกระนั้นพระองค์
ก็ยังต้องทรงรับอาหารหยาบอยู่เอง
หลักธรรมในโพธิสัตว์ปฏิกูลสูตรจึงสอดคล้องกับหลักการของวิชชา
ธรรมภายในเรื่องความหมายของ“ธรรมมา”ว่าเป็นกายที่ประกอบด้วยธรรม
แต่สอดคล้องอย่างมีเงื่อนไขในประเด็นที่ว่า “พระโพธิสัตว์มีธรรมเป็นกาย” คือ
หมายเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่เข้าถึงธรรมภายแล้วเท่านั้น ส่วนกรณีของ
พระโพธิสัตว์ไม่ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงนั่นคือว่าดสอดเฉพาะในกรณีที่
“กายของพระโพธิสัตว์” หมายถึง ธรรมภายเท่านั้น
เป็นไปได้ว่าหลักปฏิบัติและคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ที่แสดงไว้
ในโพธิสัตว์ปฏิกูลสูตรนี้ อาจเป็นความพยายามที่จะกำหนด “มาตรฐานของ